27-048 พราหมณ์ชื่อเวทัพพะ
พระไตรปิฎก
๘. เวทัพพชาดก
ว่าด้วยพราหมณ์ชื่อเวทัพพะ
(พระโพธิสัตว์คิดถึงเรื่องคนที่ปรารถนาความเจริญโดยวิธีที่ไม่สมควร ได้ประสบ
ความพินาศใหญ่หลวง จึงกล่าวว่า)
{๔๘} [๔๘] ผู้ใดปรารถนาประโยชน์โดยอุบายอันไม่แยบยล
ผู้นั้นย่อมเดือดร้อน เหมือนโจรชาวแคว้นเจตะ
ฆ่าเวทัพพพราหมณ์แล้วถึงความพินาศทั้งหมด
เวทัพพชาดกที่ ๘ จบ
บาลี
รออัพเดต
อรรถกถา
อรรถกถาเวทัพพชาดกที่ ๘
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภภิกษุว่ายาก ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้น
มีอาทิว่า “อนุปาเยน โย อตฺถํ” ดังนี้.
ความพิสดารว่า พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อน
ภิกษุ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่เธอเป็นคนว่ายาก แม้ในกาลก่อน
ก็เป็นผู้ว่ายากเหมือนกัน เพราะเหตุนั้นแลจึงไม่ทำตามคำของ
ท่านผู้เป็นบัณฑิต ถูกฟันด้วยดาบขาดสองท่อน ล้มนอนอยู่ที่
หนทาง ละเพราะอาศัยเธอคนเดียวแท้ ๆ คนอีกพันคนต้องสิ้น
ชีวิตไปด้วย ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง
พาราณสี มีพราหมณ์คนหนึ่งในบ้านตำบลหนึ่ง รู้มนต์ ชื่อ
เวทัพพะ. ได้ยินว่ามนต์นั้นหาค่ามิได้ ควรบูชายิ่งนัก เมื่อได้
เวลาฤกษ์แล้ว เจ้าของมนต์ร่ายมนต์นั้น แหงนสูดอากาศแล้ว
ฝนแก้ว ๗ ประการ ก็ตกลงมาจากอากาศ. ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์
เรียนศิลปะอยู่ในสำนักของพราหมณ์นั้น อยู่มาวันหนึ่ง พราหมณ์
ชวนพระโพธิสัตว์ ออกจากบ้านของตนเดินทางไปสู่แคว้นเจตี
ด้วยกิจธุระบางประการ. ก็ในระหว่างทางตอนที่เป็นป่าแห่งหนึ่ง
มีพวกโจรที่เรียกว่า เปสนกโจรประมาณ ๕๐๐ คน มั่วสุมกัน
สะกัดทางอยู่. พวกโจรเหล่านั้น จับพระโพธิสัตว์และเวทัพพ-
พราหมณ์ไว้.
ก็เพราะเหตุไร โจรพวกนี้ จึงถูกเรียกว่าเปสนกโจร ?
เพราะเหตุที่เล่ากันว่า พวกมันจับคนได้ ๒ คน แล้วใช้
คนหนึ่งไปเอาเงินมาให้พวกมัน เพราะเหตุนั้น คนทั้งหลายจึง
เรียกพวกมันว่า “เปสนกโจร”. ก็พวกโจรแม้เหล่านั้น ซุ่มอยู่
ที่บริเวณป่าแห่งหนึ่ง ถ้าจับพ่อกับลูกไปได้ ก็จะพูดกับพ่อว่า
จงไปเอาทรัพย์มาให้เรา แล้วจึงรับลูกไป โดยทำนองนี้. จับแม่
กับลูกสาวได้ ก็ปล่อยแม่ไป จับพี่กับน้องได้ ก็ปล่อยพี่ไป จับ
อาจารย์กับลูกศิษย์ได้ ก็ปล่อยศิษย์ไป ในคราวนั้น พวกมันจึง
ยึดตัว เวทัพพพราหมณ์ไว้ แล้วปล่อยพระโพธิสัตว์ไป.
พระโพธิสัตว์กราบอาจารย์แล้ว กล่าวเตือนว่า ผมจักไป
สัก ๒-๓ วันเท่านั้น อาจารย์อย่าหวาดหวั่นไปเลย อีกประการ
หนึ่ง โปรดกระทำตามคำของผมด้วยเถิด ในวันนี้จักมีฤกษ์ อัน
จะให้ฝนคือทรัพย์ตกลงมา ท่านอย่าไร้ความอดทนทุกข์ยาก อย่า
ร่ายมนต์ให้เงินทองไหลหลั่งลงมาเป็นอันขาด หากท่านจักให้
ฝนเงินฝนทองไหลหลั่งลงมาแล้วไซร้ ตัวท่านจักถึงความย่อยยับ
โจรทั้ง ๕๐๐ เหล่านี้ จักฆ่าท่านเสีย ครั้นเตือนอาจารย์อย่างนี้
แล้ว ก็จากไปเพื่อเอาทรัพย์มา. ฝ่ายพวกโจร พอพระอาทิตย์
อัษฎงค์ ก็มัดพราหมณ์ให้นอนแซ่ว. ขณะนั้นเองจันทมลฑลอัน
บริบูรณ์ ก็โผล่ขึ้นจากโลกธาตุด้านทิศปราจีน. พราหมณ์มอง
เห็นฤกษ์ ก็คิดว่า ได้ฤกษ์ที่จะให้ฝนเงินฝนทองไหลหลั่งลงมา
แล้ว ทำไมเราต้องเสวยทุกข์ยากอยู่เล่า ร่ายมนต์ให้ให้แก้ว
ตกลงมา เอาทรัพย์ให้พวกโจร แล้วก็จักเป็นอิสระไปได้ตาม
สบาย แล้วจึงเรียกพวกโจรมา ถามว่า ก่อนโจรผู้เจริญทั้งหลาย
พวกท่านจับเราไว้ เพื่อต้องการอะไร ? พวกโจรตอบว่า ต้อง
การทรัพย์ซิขอรับ ท่านอาจารย์. พราหมณ์จึงกล่าวว่า ท่านผู้
เจริญทั้งหลาย ถ้าต้องการทรัพย์ ก็จงรีบแก้มัดเราโดยเร็ว ให้
เราสนานศีรษะ นุ่งผ้าขาว ประพรมตนด้วยของหอม ประดับ
ด้วยดอกไม้แล้วคุมเราไว้เถิด. พวกโจรฟังคำของพราหมณ์แล้ว
ก็ทำตามทุกประการ. พราหมณ์รู้ฤกษ์แล้ว ก็ร่ายมนต์แหงนดู
อากาศ. ทันใดนั้นเอง แก้วทั้งหลายก็ร่วงพรูมาจากอากาศ.
พวกโจรก็พากันกอบโกยเอาทรัพย์ รวบรวมใส่ในผ้าขาวม้า
แล้วพากันนำไป. แม้พราหมณ์ก็ตามพวกมันไปข้างหลังด้วย.
ครั้งนั้น มีโจรพวกอื่น จำนวน ๕๐๐ เหมือนกัน พากันจับโจร
เหล่านั้นไว้. เมื่อพวกที่ถูกจับถามว่า ท่านทั้งหลายจับเราไว้
ทำไม ก็ตอบว่า เพื่อต้องการทรัพย์. พวกโจรที่ถูกจับจึงบอกว่า
แม้นพวกท่านต้องการทรัพย์ ก็จงจับพราหมณ์นั้นไว้เถิด แกมอง
ดูอากาศแล้ว ให้ทรัพย์ไหลหลั่งลงมาได้ ก็ทรัพย์ของเรานี้ แกให้
ทั้งนั้นแหละ. พวกโจรก็ปล่อยพวกโจรที่จับไว้พลางคุมตัวพราหมณ์
ไว้กล่าวว่า จงให้ทรัพย์แก่พวกเราบ้าง. พราหมณ์กล่าวว่า
ฉันต้องให้ทรัพย์แก่พวกท่านแน่นอน แต่ว่า ฤกษ์ที่จะเรียกให้
ทรัพย์ไหลลงมาได้ กว่าจะมีก็อีกปีหนึ่งนับแต่วันนี้ไป ถ้าพวก
ท่านต้องการทรัพย์ละก็ ต้องคอยถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจักเรียก
ฝนทรัพย์ให้ไหลลงมาได้. พวกโจรพากันโกรธ พูดว่า ทุด ! ไอ้
พราหมณ์ชั่ว ทีคนอื่นละก็แกเรียกฝนเงิน ฝนทองให้ไหลลงมา
ได้ทันทีทีเดียว ถึงคราวพวกเรา บอกให้คอยตั้งปี ดังนี้แล้ว
ฟันพราหมณ์ขาเป็นสองท่อนด้วยดาบอันคม ทิ้งไว้ที่หนทาง
ยกพวกตามไปโดยเร็ว ได้ต่อสู้กับโจรพวกนั้น ฆ่าโจรพวกนั้น
ได้หมด ยึดเอาทรัพย์ไป เกิดแตกกันเป็นสองพวก เลยต่อสู้กัน
เอง ฆ่ากันตายไป ๒๕๐ แล้วก็แตกกันอีก ฆ่ากันอีก โดยทำนอง
นี้ จนในที่สุดเหลือ ๒ คน. แล้วฆ่ากันเองตายหมด. คนทั้งพันนั้น
ถึงความพินาศด้วยประการฉะนี้.
ก็คนทั้งสองที่เหลือภายหลังนั้น ยึดเอาทรัพย์นั้นมาได้ด้วย
อุบายนั้น พากันเอาไปซ่อนไว้ในที่รกใกล้บ้านแห่งหนึ่ง คนหนึ่ง
ถือพระขรรค์นั่งเฝ้าไว้ คนหนึ่งเอาข้าวสารเข้าไปสู่บ้านเพื่อหุง
เป็นอาหาร. ก็ขึ้นชื่อว่าความโลภแล้ว เป็นมูลแห่งความพินาศ
ทีเดียว เพราะฉะนั้น โจรคนที่นั่งเฝ้าทรัพย์คิดว่า เมื่อโจรคนนั้น
มา ทรัพย์นี้ก็ต้องแบ่งเป็นสองส่วน อย่ากระนั้นเลย พอมันมา
เราฟันเสียให้ตายด้วยพระขรรค์ก็สิ้นเรื่อง คิดแล้วก็เหน็บพระ-
ขรรค์ นั่งคอยให้คนนั้นมา. ฝ่ายอีกคนหนึ่งก็คิดว่า ทรัพย์นั้น
จักต้องแบ่งเป็นสองส่วน ถ้ากระไร เราเอายาพิษใส่อาหารให้
ไอ้คนนั้นกินสิ้นชีวิตแล้ว เราก็ได้ครอบครองทรัพย์แต่ผู้เดียว.
ดังนั้น พอข้าวสุกก็รีบกินเสียก่อน ส่วนที่เหลือก็ใส่ยาพิษไว้
ถือมาที่อีกคนหนึ่งคอยอยู่ พอก้มลงวางอาหารเท่านั้นเอง คนที่
คอยอยู่ก็ฟันด้วยพระขรรค์ขาดเป็น ๒ ท่อน เอาไปทิ้งในที่รก
แล้วกลับมากินอาหารนั้น เลยตนเองก็สิ้นชีวิตในที่นั้นเอง. คน
ทั้งหมดถึงความพินาศเพราะอาศัยทรัพย์นั้น ด้วยประการฉะนี้.
พอเวลาล่วงไปได้วัน-สองวัน พระโพธิสัตว์ก็ถือเอาทรัพย์
มา ไม่เห็นอาจารย์ในที่นั้นเสียแล้ว เห็นแต่ทรัพย์กระจัดกระจาย
อยู่ ก็คิดว่า อาจารย์ไม่เชื่อคำเรา ชะรอยจักเรียกทรัพย์ให้
หลั่งไหลลงมาเป็นแน่ ทุกคนต้องถึงความพินาศหมด ดังนี้แล้ว
พลางเดินไปในทางใหญ่. เมื่อเดินไปถึง ก็เห็นอาจารย์ถูกตัดขาด
๒ ท่อน คิดว่า อาจารย์ต้องมาตายเพราะไม่เชื่อคำเรา แล้วก็
เก็บฟืนกองเป็นเชิงตะกอน เผาอาจารย์. บูชาด้วยดอกไม้ป่า
แล้วเดินต่อไป เห็นโจร ๕๐๐ ตาย เดินต่อไป เห็นโจร ๒๕๐ ตาย
โดยลำดับ ในที่สุดเห็นคนทั้งสองสิ้นชีวิต จึงคิดว่า คนที่ถึงความ
พินาศนี้ หนึ่งพันหย่อนสองคน ต้องมีโจรอีก ๒ คนแน่นอน แม้
ทั้งสองคนก็จักไม่อาจรอดอยู่ได้ สองคนไปอยู่ที่ไหนเล่าหนอ
ดังนี้แล้วเดินต่อไป เห็นทางเข้าไปสู่ที่ซ่อนทรัพย์ของคนทั้งสอง
เดินต่อไป ก็เห็นกองทรัพย์ที่มัดเป็นถุง ๆ ไว้ ได้เห็นคนหนึ่งตาย
คร่อมถาดข้าว ในลำดับนั้น ก็คาดการณ์รู้เหตุทั้งหมดว่า โจร
พวกนั้นจักต้องกระทำอย่างนี้ แล้วก็คิดว่า บุรุษนั้นอยู่ไหนเล่า ?
ค้นหาดู ก็เห็นชายคนนั้นถูกหมกไว้ที่รก จึงคิดว่า อาจารย์ของ
เราไม่ทำตามคำเรา เพราะความว่ายากของตน แม้ตนก็ถึงความ
พินาศ มิหนำซ้ำทำให้คนอื่นอีกตั้งพันคนพลอยถึงความพินาศไป
อนาถแท้ คนที่ปรารถนาความเจริญแก่ตน โดยเหตุมิใช่อุบาย
ไม่ใช่การณ์ จักต้องถึงความพินาศใหญ่โตทีเดียว เหมือนอาจารย์
ของเราถึงความพินาศอยู่ฉะนั้น แล้วกล่าวคาถานี้ใจความว่า :-
“ผู้ใดปรารถนาประโยชน์ โดยเหตุมิใช่
อุบาย ผู้นั้นย่อมเดือดร้อน โจรชาวเจติรัฐ ฆ่า
พราหมณ์เวทัพพะเสียแล้ว คนเหล่านั้น ก็พลอย
ถึงความย่อยยับหมดสิ้น” ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส วิหญฺติ ความว่า บุคคล
คิดว่า เราปรารถนาประโยชน์ คือความเจริญ ความสุขแก่ตน
กระทำความพยายามโดยเหตุอันมิใช่อุบาย ในขณะอันมิใช่กาล
ย่อมเดือดร้อน คือลำบาก ได้แก่ถึงความพินาศอย่างใหญ่หลวง.
บทว่า เจตา ได้แก่ พวกโจรผู้อยู่ในแคว้นเจติรัฐ.
บทว่า หนึสุ เวทพฺพํ ความว่า โจรชาวเจติรัฐ พากัน
ฆ่าพราหมณ์ ผู้ได้นามว่า “เวทัพพะ” เพราะรู้มนต์เวทัพพะ
เสียแล้ว.
บทว่า สพฺเพ เต พฺยสนมชฺฌคุํ ความว่า แม้คนเหล่านั้น
ทั้งหมด ฆ่ากันเองถึงความย่อยยับไม่ได้เหลือเลยสักคนเดียว.
เมื่อมีเหตุเช่นนี้ พระโพธิสัตว์จึงประกาศก้องไปทั้งป่าว่า
อาจารย์ของเรากระทำความบากบั่นในเรื่องมิใช่ฐานะ โดยเหตุ
มิใช่อุบาย เรียกทรัพย์ให้หลั่งไหลลงมา แม้ตนเองก็ถึงความสิ้น
ชีวิต ยังเป็นปัจจัยแห่งความพินาศของคนอื่น ๆ อีก ๕๐๐ ๆ
ฉันใด แม้คนอื่น ๆ ผู้ใดเล่าปรารถนาประโยชน์แก่ตน จักกระทำ
ความพยายามโดยเหตุมิใช่อุบายผู้นั้นทั้งหมด จักพินาศด้วยตน
เองเป็นแน่ ทั้งจักเป็นปัจจัยให้คนอื่น ๆ พลอยพินาศด้วย ดังนี้
เมื่อเหล่าเทวดาพากันให้สาธุการ ก็แสดงธรรมด้วยคาถานี้ นำ
ทรัพย์นั้นมาสู่เรือนของตน โดยอุบายอันชอบ กระทำบุญทั้งหลาย
มีทานเป็นต้น ดำรงอยู่ตราบอายุขัย ครั้นสิ้นชีวิต ก็ได้ไปเพิ่ม
แดนสวรรค์ให้บริบูรณ์ขึ้น.
แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ มิใช่แต่ในบัดนี้
เท่านั้น ที่เธอเป็นคนว่ายาก แม้ในกาลก่อน ก็เป็นคนว่ายาก
เหมือนกัน ก็เพราะความเป็นคนว่ายาก จึงถึงความพินาศอย่าง
ใหญ่หลวง. ดังนี้ ครั้นนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประชุม
ชาดกว่า เวทัพพะพราหมณ์ในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุว่ายาก
ในบัดนี้ ส่วนลูกศิษย์ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาเวทัพพชาดกที่ ๘