21-038 ภิกษุผู้หลีกเร้น



พระไตรปิฎก


๘. ปฏิลีนสูตร
ว่าด้วยภิกษุผู้หลีกเร้น

{๓๘}[๓๘] ภิกษุทั้งหลาย เราเรียกภิกษุว่า ผู้มีปัจเจกสัจจะ A อันบรรเทาได้ ผู้มี
การแสวงหาอันสละได้ดี ผู้มีกายสังขารอันระงับได้ ผู้หลีกเร้น
ภิกษุผู้มีปัจเจกสัจจะอันบรรเทาได้ เป็นอย่างไร
คือ ปัจเจกสัจจะเป็นอันมาก เช่น เห็นว่า โลกเที่ยงบ้าง โลกไม่เที่ยงบ้าง โลก
มีที่สุดบ้าง โลกไม่มีที่สุดบ้าง ชีวะกับสรีระเป็นอย่างเดียวกัน ชีวะกับสรีระเป็นคน
ละอย่างกัน หลังจากตายแล้วตถาคตเกิดอีก หลังจากตายแล้วตถาคตไม่เกิดอีก
หลังจากตายแล้วตถาคต B เกิดอีกและไม่เกิดอีก หลังจากตายแล้วตถาคตจะว่าเกิด
อีกก็มิใช่ จะว่าไม่เกิดอีกก็มิใช่ เหล่านั้นทั้งหมดของสมณะและพราหมณ์จำนวนมาก
อันภิกษุในธรรมวินัยนี้บรรเทาได้ กำจัดได้ สละได้ คลายได้ ปล่อยวางได้ ละได้
สละคืนได้ ภิกษุผู้มีปัจเจกสัจจะอันบรรเทาได้ เป็นอย่างนี้แล
ภิกษุผู้มีการแสวงหาอันสละได้ดี เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ละการใฝ่หากาม C ละการแสวงหาภพ D ระงับการ
แสวงหาพรหมจรรย์ได้ E ภิกษุผู้มีการแสวงหาอันสละได้ดี เป็นอย่างนี้แล
ภิกษุผู้มีกายสังขารอันระงับได้ F เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัส
ดับไปก่อนแล้ว บรรลุจตุตถฌานที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่
ภิกษุผู้มีกายสังขารอันระงับได้ เป็นอย่างนี้แล
ภิกษุผู้หลีกเร้น เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ละอัสมิมานะ G ได้เด็ดขาด ตัดรากถอนโคนเหมือนต้น
ตาลที่ถูกตัดรากถอนโคนไปแล้ว เหลือแต่พื้นที่ ทำให้ไม่มี เกิดขึ้นต่อไปไม่ได้
ภิกษุผู้หลีกเร้น เป็นอย่างนี้แล
เราเรียกภิกษุว่า ผู้มีปัจเจกสัจจะอันบรรเทาได้ ผู้มีการแสวงหาอันสละได้ดี
ผู้มีกายสังขารอันระงับได้ ผู้หลีกเร้น ด้วยประการฉะนี้
การใฝ่หากาม การแสวงหาภพ
และการแสวงหาพรหมจรรย์
อันภิกษุในธรรมวินัยนี้สละได้เด็ดขาดแล้ว
การยึดถือว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้จริงอันเป็นพื้นฐานแห่งทิฏฐิ
ภิกษุถอนขึ้นแล้วด้วยอาการอย่างนี้
ภิกษุผู้คลายกำหนัดได้ทั้งหมด
หลุดพ้นเพราะสิ้นตัณหา
ชื่อว่าสละคืนการแสวงหา
ถอนรากฐานแห่งทิฏฐิได้
ภิกษุนั้นแลเป็นผู้สงบ
มีสติ สงบระงับ ไม่พ่ายแพ้
ชื่อว่าเป็นพุทธะ เพราะละมานะได้
เราเรียกว่า ผู้หลีกเร้น
ปฏิลีนสูตรที่ ๘ จบ
เชิงอรรถ
A ปัจเจกสัจจะ หมายถึงสัจจะที่แต่ละคนยึดถือตามความเห็นของตนว่า “นี้เท่านั้นจริง” (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๓๘/๓๓๙)
B ตถาคตในที่นี้เป็นคำที่ลัทธิอื่น ๆ ใช้มาก่อนพุทธกาล หมายถึงอัตตา (อาตมัน)ไม่ได้หมายถึงพระพุทธเจ้า อรรถกถาอธิบายว่า หมายถึงสัตว์ (ดู ที.สี.อ. ๖๕/๑๐๘)
C ละการใฝ่กาม หมายถึงละได้ด้วยอนาคามิมรรค (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๓๘/๓๓๙)
D ละการแสวงหาภพ หมายถึงละได้ด้วยอรหัตตมรรค (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๓๘/๓๓๙)
E ระงับการแสวงหาพรหมจรรย์ได้ หมายถึงอัธยาศัยจิตใจที่มุ่งแสวงหาพรหมจรรย์ในชั้นสูงระงับไปด้วย อรหัตตมรรค คือ เมื่อบรรลุอรหัตตผลแล้วก็ไม่ต้องแสวงหาพรหมจรรย์ต่อไป แต่การแสวงหาพรหมจรรย์ ด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิจะระงับไปด้วยโสดาปัตติมรรค (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๓๘/๓๓๙)
F มีกายสังขารอันระงับได้ หมายถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออกระงับไป คือ มีอยู่เหมือนไม่มีด้วยอำนาจ จตุตถฌาน (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๓๘/๓๓๙)
G อัสมิมานะ หมายถึง มานะ (ความสำคัญตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้) ๙ ประการ คือ
(๑) เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
(๒) เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
(๓) เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัว ว่าด้อยกว่าเขา
(๔) เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
(๕) เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา
(๖) เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าด้อยกว่าเขา
(๗) เป็นผู้ด้อยกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา
(๘) เป็นผู้ด้อยกว่าเขา สำคัญว่าเสมอเขา
(๙) เป็นผู้ด้อยกว่าเขา สำคัญตัวว่าด้อยกว่าเขา (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๓๘/๓๓๙)

บาลี



รออัพเดต

อรรถกถา


รออัพเดต

สนทนาธรรม

comments

Comments are closed.