15-142 มารแปลงกายเป็นพญางู



พระไตรปิฎก


๖. สัปปสูตร
ว่าด้วยมารแปลงกายเป็นพญางู
[๔๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน สถานที่ให้เหยื่อกระแต
เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่กลางแจ้ง ในราตรีอัน
มืดมิด และฝนกำลังตกประปรายอยู่
[๔๓๒] ครั้งนั้น มารผู้มีบาปต้องการจะให้ความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพอง
สยองเกล้าเกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาค จึงแปลงกายเป็นพญางูใหญ่ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี
พระภาคถึงที่ประทับ พญางูนั้นมีกายเหมือนเรือลำใหญ่ที่ขุดด้วยซุงทั้งต้น มีพังพาน
เหมือนเสื่อลำแพนผืนใหญ่สำหรับปูตากแป้งของช่างทำสุรา มีนัยน์ตาเหมือนถาด
สำริดใบใหญ่ของพระเจ้าโกศล มีลิ้นแลบออกจากปากเหมือนสายฟ้าแลบในขณะที่
เมฆกำลังกระหึ่ม มีเสียงหายใจเข้าหายใจออกเหมือนเสียงสูบของช่างทองที่กำลัง
พ่นลมอยู่ ฉะนั้น
[๔๓๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า “นี้คือมารผู้มีบาป” จึงตรัสกับมาร
ผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า
มุนีใดอาศัยเรือนว่างอยู่
มุนีนั้นสำรวมตนได้แล้ว
เขาสละความอาลัยในอัตภาพนั้นเที่ยวไป
เพราะการสละความอาลัยในอัตภาพแล้วเที่ยวไปนั้น
เหมาะสมแก่ผู้เช่นนั้น
สัตว์ที่สัญจรไปมาก็มาก สิ่งที่น่ากลัวก็มาก
อนึ่ง เหลือบและสัตว์เลื้อยคลานก็ชุกชุม
แต่มหามุนีผู้อยู่ในเรือนว่าง
ไม่หวั่นไหวเพราะสิ่งที่น่ากลัวเหล่านั้นแม้เพียงขนลุก
ถึงแม้ท้องฟ้าจะแตก แผ่นดินจะไหว
สัตว์ทั้งหลายจะสะดุ้งกลัวกันก็ตามที
ถึงแม้หอกจะจ่ออยู่ที่อกก็ตามเถิด
พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ไม่ทรงป้องกันตัว
ครั้งนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า “พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต
ทรงรู้จักเรา” จึงหายตัวไป ณ ที่นั้นเอง
สัปปสูตรที่ ๖ จบ

บาลี



สปฺปสุตฺต
[๔๓๑] เอวมฺเม สุต เอก สมย ภควา ราชคเห วิหรติ
เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป ฯ เตน โข ปน สมเยน ภควา รตฺตนฺธการติมิสาย
อชฺโฌกาเส ๑ นิสินฺโน โหติ ฯ เทโว จ เอกเมก
ผุสายติ ฯ
[๔๓๒] อถ โข มาโร ปาปิมา ภควโต ภย ฉมฺภิตตฺต
โลมหส อุปฺปาเทตุกาโม มหนฺต สปฺปราชวณฺณ อภินิมฺมินิตฺวา
เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ฯ เสยฺยถาปิ นาม มหตี เอกรุกฺขิกา
นาวา เอวมสฺส กาโย โหติ ฯ เสยฺยถาปิ นาม มหนฺต โสณฺฑิกา
กิลฺช ๒ เอวมสฺส ผโณ โหติ ฯ เสยฺยถาปิ นาม มหตี โกสลิกา
กสปาฏิ เอวมสฺส อกฺขีนิ ภวนฺติ ฯ เสยฺยถาปิ นาม เทเว คฬคฬายนฺเต
วิชฺชุลฺลตา นิจฺฉรนฺติ เอวมสฺส มุขโต ชิวฺหา นิจฺฉรนฺติ ฯ
เสยฺยถาปิ นาม กมฺมารคคฺคริยา ธมมานาย สทฺโท โหติ เอวมสฺส
อสฺสาสปสฺสาสาน สทฺโท โหติ ฯ
[๔๓๓] อถ โข ภควา มาโร อย ปาปิมา อิติ วิทิตฺวา
มาร ปาปิมนฺต คาถาหิ อชฺฌภาสิ
โย สุฺเคหานิ เสวติ
เสยฺยา ๓ โส มุนิ อตฺตสฺโต
โวสฺสชฺช จเรยฺย ตตฺถ โส
ปฏิรูปฺหิ ตถาวิธสฺส ต
จรกา พหู เภรวา พหู
อโถ ฑสสิรึสปา พหู
โลมมฺปิ น ตตฺถ อิฺชเย
สุฺาคารคโต มหา มุนิ
นภ ผเลยฺย ปวี จเลยฺย
สพฺเพว ๔ ปาณา อุท สนฺตเสยฺยุ
สลฺลมฺปิ เจ อุรสิ กมฺปเสยฺยุ ๕
อุปธีสุ ตาณ น กโรนฺติ พุทฺธาติ ฯ
อถ โข มาโร ปาปิมา ชานาติ ม ภควา ชานาติ ม สุคโตติ
ทุกฺขี ทุมฺมโน ตตฺเถวนฺตรธายีติ ฯ

******************

๑ ม. อพฺโภกาเส ฯ ๒ ยุ. กิลฺชา ฯ ๓ ยุ. เสยฺโย ฯ
๔ ม. ยุ. สพฺเพปิ ฯ ๕ สี. ยุ. ปกมฺปเยยฺยุ ฯ ม. กปฺปเรยฺย ฯ

อรรถกถา


อรรถกถาสัปปสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสัปปสูตรที่ ๖ ต่อไป :-
บทว่า โสณฺฑิกา กิลญฺชํ ได้แก่ เสื่อลำแพน สำหรับเกลี่ยแป้ง
ของพวกทำสุรา. บทว่า โกสลิกา กํสจาฏิ ได้แก่ ภาชนะใส่ของเสวยขนาด
ล้อรถ ของพระเจ้าโกศล. บทว่า คฬคฬายนฺเต ได้แก่ ออกเสียงดัง บทว่า
กมฺมารคคฺคริยา ได้แก่ สูบเตาไฟของช่างทอง. บทว่า ธมมานาย ได้แก่
ให้เต็มด้วยลมในกระสอบหนัง. บทว่า อิติ วิทิตฺวา ความว่า มารคิดว่า
พระสมณโคดม ประกอบความเพียรเนือง ๆ นั่งเป็นสุข จำเราจักกระทบ
กระเทียมเขาดู แล้วเนรมิตอัตภาพมีประการดังกล่าวแล้วจึงเดินด้อม ๆ ณ
ที่ทรงทำความเพียร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นด้วยแสงฟ้าแลบ ทรงนึกว่า
สัตว์ ผู้นี้เป็นใครกันหนอ ก็ทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมาร ดังนี้
บทว่า สฺุเคหานิ แปลว่า เรือนว่าง. บทว่า เสยฺยา ความว่า
ผู้ใดเสพเรือนว่างทั้งหลาย เพื่อจะนอน คือเพื่อต้องการอย่างนี้ว่า เราจักยืน
จักเดิน จักนั่ง จักนอน. บทว่า โส มุนิ อตฺตสญฺโต ความว่า
พุทธมุนีใด สำรวมตัวแล้ว เพราะไม่มีการคะนองมือและเท้า. บทว่า โวสฺสชฺช
จเรยฺย ตตฺถ โส ความว่า พุทธมุนีนั้น สละความอาลัยเยื่อใยใน
อัตภาพนั้น พึงจาริกไป. บทว่า ปฏิรูปํ หิ ตถาวิธสฺส ตํ ความว่า
ความสละความเยื่อใยในอัตภาพนั้นจาริกไป ของพุทธมุนี ผู้เช่นนั้น คือผู้ดำรง
อยู่อย่างนั้น ก็เหมาะ ก็ชอบ ก็สมควร.
บทว่า จรกา ได้แก่ สัตว์ผู้สัญจรไปมีสีหะและเสือเป็นต้น . บทว่า
เภรวา ได้แก่ สภาพที่น่ากลัว ทั้งมีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ บรรดาสภาพ
ที่น่ากลัวเหล่านั้น สัตว์มีสีหะ และเสือเป็นต้น ชื่อว่า. สภาพที่น่ากลัวมีวิญญาณ
ตอไม้และจอมปลวกเป็นต้น ในเวลากลางคืน ชื่อว่า สภาพที่น่ากลัวไม่มีวิญญาณ
เป็นความจริง สภาพที่น่ากลัวแม้เหล่านั้น ย่อมปรากฏเป็นประหนึ่งยักษ์ใน
เวลานั้น เชือกและเถาวัลย์เป็นต้น ก็ปรากฏประหนึ่งงู. บทว่า ตตฺถ ความว่า
พุทธมุนี เข้าไปสู่เรือนว่าง ไม่ทำอาการแม้เพียงขนลุก ในสภาพที่น่ากลัว
เหล่านั้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงการกำหนดสิ่งที่มิใช่ฐานะ
จึงตรัสว่า นภํ ผเลยฺย เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ผเลยฺย ได้แก่
ท้องฟ้าจะพึงแตกเป็นริ้ว ๆ ประหนึ่งตีนกา. บทว่า จเลยฺย ได้แก่ แผ่นดิน
จะพึงไหว เหมือนหยาดน้ำบนใบบัวที่ต้องลม. บทว่า สลฺลมฺปิ เจ อุรสกํ
ปสฺเสยฺยุํ ความว่า แม้ว่าคนทั้งหลาย จะพึงจ่อหอกและหลาวอันคมไวั
ตรงอก. บทว่า อุปธีสุ ได้แก่ ในเพราะอุปธิ คือขันธ์ทั้งหลาย. บทว่า
ตาณํ น กโรนฺติ ความว่า คนทั้งหลาย เมื่อเขาจ่อหลาวอันคมไว้ตรงอก
ก็หนีเข้าระหว่างที่กำบังและภายในกระท่อมเป็นต้น เพราะความกลัว ชื่อว่า
กระทำการป้องกัน. แต่พระพุทธะทั้งหลาย ไม่กระทำการป้องกันเห็นปานนั้น
เพราะท่านเพิกถอนความกลัวหมดทุกอย่างแล้ว.
จบอรรถกถาสัปปสูตรที่ ๖

สนทนาธรรม

comments

Got anything to say? Go ahead and leave a comment!