12-318 อวสานคาถา



พระไตรปิฎก


อวสานคาถา
{๕๖๖} [๕๑๓] ทูสีมารประทุษร้ายพระสาวกชื่อว่าวิธุระ
และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐพระนามว่ากกุสันธะ
แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร
ทูสีมารประทุษร้ายพระสาวกนามว่าวิธุระ
และพระผู้มีพระภาคผู้ประเสริฐพระนามว่ากกุสันธะ
แล้วไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้
คือมีหลาวเหล็ก ๑๐๐ เล่ม ล้วนก่อให้เกิดทุกขเวทนา
ภิกษุรูปใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าย่อมรู้จักนรกนั้น
มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
วิมานทั้งหลายตั้งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรตลอดกัป
มีสีเหมือนแก้วไพฑูรย์ มีความรุ่งเรือง
มีรัศมีโชติช่วง เป็นประภัสสร
มีเหล่านางอัปสรมีผิวพรรณต่าง ๆ เป็นอันมากฟ้อนรำอยู่
ภิกษุรูปใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักวิมานนั้น
มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
ภิกษุรูปใด ผู้ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตักเตือนแล้ว
เมื่อภิกษุสงฆ์เห็นอยู่ ทำปราสาทของมิคารมาตา
ให้ไหวด้วยปลายนิ้วหัวแม่เท้า
ภิกษุรูปใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น
มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
ภิกษุรูปใดมีกำลังเข้มแข็งด้วยกำลังฤทธิ์
ทำเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยปลายนิ้วหัวแม่เท้า
และทำเหล่าเทวดาให้สังเวช
ภิกษุรูปใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น
มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
ภิกษุรูปใดทูลสอบถามท้าวสักกะในเวชยันตปราสาทว่า
‘ท่านวาสวะ ท่านย่อมรู้ความน้อมจิตไปในธรรมเป็นที่สิ้นไป
แห่งตัณหาบ้างไหม’
ท้าวสักกะถูกถามปัญหาแล้ว
จึงตอบแก่ภิกษุนั้นตามควรแก่กถา
ภิกษุรูปใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น
มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
ภิกษุรูปใดสอบถามพรหม ณ ที่ใกล้สุธัมมสภาว่า
‘ท่านเห็นทิฏฐิของท่านในวันนี้
และทิฏฐิของท่านที่มีในวันก่อน
ท่านเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว
และรัศมีเป็นประภัสสรในพรหมโลกบ้างหรือ’
พรหมตอบแก่ภิกษุนั้น ตามลำดับโดยควรแก่กถาว่า
‘ท่านผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีทิฏฐินั้นและทิฏฐิในวันก่อน
ข้าพเจ้าเห็นทิฏฐินั้นล่วงไปแล้ว
และเห็นรัศมีเป็นประภัสสรในพรหมโลก
(ฉะนั้น) วันนี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า
‘เราเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน ได้อย่างไร’
ภิกษุรูปใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้จักเหตุนั้น
มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
ภิกษุรูปใด ได้สัมผัสยอดภูเขาใหญ่ชื่อสิเนรุ
ชมพูทวีป ปุพพวิเทหทวีป
อมรโคยานทวีป และอุตตรกุรุทวีปด้วยวิโมกข์
ภิกษุรูปใดเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมรู้เหตุนั้น
มารประทุษร้ายภิกษุเช่นนั้น
ย่อมประสบทุกข์อย่างหนัก
คนพาลมาเข้ากองไฟที่กำลังลุกโชน ย่อมเดือดร้อนอยู่ว่า
‘ไฟย่อมไม่คิดจะเผาเรา แต่เราเผาตนผู้เป็นคนพาลเอง’
มาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้ว จักเผาตัวเอง
ดังคนพาลที่ถูกไฟเผาฉะนั้น
มาร ท่านเบียดเบียนพระตถาคตแล้ว ต้องประสบบาป
ท่านเข้าใจหรือว่า ‘บาปไม่ให้ผลแก่เรา’
ผู้ที่สั่งสมบาป ย่อมโอดครวญตลอดกาลนาน
มาร ท่านเบื่อหน่ายพระพุทธเจ้า
อย่าหวังที่จะทำให้ภิกษุทั้งหลายพินาศเลย
ภิกษุได้คุกคามมารในเภสกฬาวัน ด้วยประการฉะนี้”
ลำดับนั้น มารนั้นเสียใจ ได้อันตรธานไปจากที่นั้น ดังนี้แล
มารตัชชนียสูตรที่ ๑๐ จบ
จูฬยมกวรรคที่ ๕ จบ

บาลี



รออัพเดต

อรรถกถา


รออัพเดต

สนทนาธรรม

comments

Comments are closed.