01-001 เวรัญชกัณฑ์



พระไตรปิฎก


พระวินัยปิฎก
มหาวิภังค์ ภาค ๑
ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เวรัญชกัณฑ์
เรื่องเวรัญชพราหมณ์

{๑} [๑] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ควงต้นสะเดาอันเป็น
ที่อยู่ของนเฬรุยักษ์ เขตเมืองเวรัญชา พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป
เวรัญชพราหมณ์ได้ฟังข่าวว่า ท่านพระสมณโคดม เป็นศากยบุตร เสด็จออกผนวช
จากศากยตระกูล ประทับอยู่ ณ ควงต้นสะเดาอันเป็นที่อยู่ของนเฬรุยักษ์ เขตเมือง
เวรัญชา พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ท่านพระโคดมผู้เจริญนั้น
มีกิตติศัพท์อันงามขจรไปอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
เสด็จไปดี รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นศาสดาของ
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระผู้มีพระภาค A
พระองค์ทรงรู้แจ้งโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก และหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงทรงประกาศให้ผู้
อื่นรู้ตาม ทรงแสดงธรรมมีความงามในเบื้องต้น มีความงามในท่ามกลางและมีความ
งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์
ครบถ้วน การได้พบพระอรหันต์ทั้งหลายเช่นนี้ เป็นความดีอย่างแท้จริง
เชิงอรรถ
A พระพุทธคุณ ทั้ง ๙ บทนี้ แต่ละบทมีอรรถอเนกประการ คือ
๑. ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะห่างไกลจากกิเลส, เพราะกำจัดข้าศึกคือกิเลส,
เพราะหักซี่กำแห่งสังสารวัฏคือการเวียนว่ายตายเกิด,
เพราะเป็นผู้ควรรับไทยธรรม, เพราะไม่ทำบาปในที่ลับ
๒. ชื่อว่า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ
เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง
๓. ชื่อว่าเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เพราะมีวิชชา ๓ และวิชชา ๘ ดังนี้
วิชชา ๓ คือ :-
(๑) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้
(๒) จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติ (ตาย) และอุบัติ (เกิด)ของสัตว์
(๓) อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ
วิชชา ๘ คือ
(๑) วิปัสสนาญาณ ญาณที่เป็นวิปัสสนา
(๒) มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ทางใจ
(๓) อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ
(๔) ทิพพโสต หูทิพย์
(๕) เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดจิตผู้อื่นได้
(๖) ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ให้ระลึกชาติได้
(๗) ทิพพจักขุ ตาทิพย์ (= จุตูปปาตญาณ)
(๘) อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำให้สิ้นอาสวะ
จรณะ ๑๕ คือ
(๑) สีลสัมปทา ความถึง พร้อมด้วยศีล
(๒) อินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย์
(๓) โภชเนมัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประมาณในการ บริโภค
(๔) ชาคริยานุโยค การหมั่นประกอบความเพียรเป็นเครื่องตื่น
(๕) มีศรัทธา
(๖) มีหิริ
(๗) มีโอตตัปปะ
(๘) เป็นพหูสูต
(๙) วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร
(๑๐) มีสติมั่นคง
(๑๑) มีปัญญา
(๑๒) ปฐมฌาน
(๑๓) ทุติยฌาน
(๑๔) ตติยฌาน
(๑๕) จตุตถฌาน
๔. ชื่อว่า เสด็จไปดี เพราะมีการเสด็จไปงาม เพราะเสด็จไปสู่ฐานะที่ดี
เพราะเสด็จไปโดยชอบ และเพราะตรัสไว้โดยชอบ
๕. ชื่อว่า รู้แจ้งโลก เพราะทรงรู้แจ้งโลก เหตุเกิดโลก ความดับโลก
วิธีปฏิบัติให้ลุถึงความดับโลก (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค)
และทรงรู้แจ้งโลกทั้ง ๓ คือ สังขารโลก สัตวโลก โอกาสโลก
๖. ชื่อว่า เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะทรงฝึกฝนคนที่ควรฝึกฝน
ทั้งเทวดา มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน ด้วยอุบายต่างๆ
๗. ชื่อว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพราะทรงสั่งสอนเทวดา
และมนุษย์ ด้วยประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า และประโยชน์อย่างยิ่ง
คือพระนิพพาน ตามสมควรแก่ประโยชน์ที่เทวดาและมนุษย์จะพึงได้รับ
และเพราะทรงช่วยพาหมู่สัตว์ ให้พ้นความกันดารคือความเกิด
ดุจสัตถวาหะคือหัวหน้ากองเกวียนพาบริวารข้ามทางกันดาร
๘. ชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้า เพราะทรงรู้สิ่งที่ควรรู้ทั้งหมดด้วยพระองค์เอง
และทรงสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม
๙. ชื่อว่า เป็นพระผู้มีพระภาค เพราะ
(๑) ทรงมีโชค
(๒) ทรงทำลายข้าศึกคือกิเลส
(๓) ทรงประกอบด้วยภคธรรม ๖ ประการ (คือ ความเป็นใหญ่เหนือจิตของตน,
โลกุตตรธรรม, ยศ, สิริ, ความสำเร็จ ประโยชน์ตามต้องการ และความเพียร)
(๔) ทรงจำแนกแจกแจงธรรม
(๕) ทรงเสพอริยธรรม
(๖) ทรงคายตัณหาในภพทั้งสาม
(๗) ทรงเป็นที่เคารพของชาวโลก
(๘) ทรงอบรมพระองค์ดีแล้ว
(๙) ทรงมีส่วนแห่งปัจจัย ๔ เป็นต้น
(ตามนัย วิ.อ. ๑/๑/๑๐๓-๑๑๘, สารตฺถ.ฏีกา. ๑/๒๗๐-๔๐๐)
อนึ่ง พุทธคุณนี้ ท่านแบ่งเป็น ๑๐ ประการ
โดยแยกพุทธคุณข้อ ๖ เป็น ๒ ประการ คือ
(๑) เป็นผู้ยอดเยี่ยม
(๒) เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้ (วิสุทฺธิ. ๑/๒๖๕, วิ.อ ๑/๑/๑๑๒-๑๑๓)

บาลี



รออัพเดต

อรรถกถา


รออัพเดต

สนทนาธรรม

comments

Comments are closed.