15-164 กีสาโคตมีภิกษุณี



พระไตรปิฎก


๓. กีสาโคตมีสูตร
ว่าด้วยกีสาโคตมีภิกษุณี
[๕๒๘] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
ครั้นเวลาเช้า กีสาโคตมีภิกษุณีครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวร เข้าไป
บิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี กลับจากบิณฑบาต ภายหลังจากฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว
เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ถึงป่าอันธวันแล้วจึงนั่งพักกลางวันที่โคนต้นไม้
แห่งหนึ่ง
[๕๒๙] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปประสงค์จะให้กีสาโคตมีภิกษุณีเกิดความกลัว ความ
หวาดสะดุ้ง ความขนพองสยองเกล้า และประสงค์จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป
หากีสาโคตมีภิกษุณีถึงที่นั่งพักแล้ว ได้กล่าวกับกีสาโคตมีภิกษุณีด้วยคาถาว่า
บุตรท่านตายแล้ว มาอยู่กลางป่าคนเดียว
เหมือนคนที่ร้องไห้อยู่โดดเดี่ยว
กำลังแสวงหาบุรุษหรืออย่างไร
[๕๓๐] ลำดับนั้น กีสาโคตมีภิกษุณีได้มีความคิดดังนี้ว่า “นี่ใครหนอมากล่าวคาถา
จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์กันแน่” ทันใดนั้น กีสาโคตมีภิกษุณีได้มีความคิดดังนี้อีกว่า
“นี่คือมารผู้มีบาป ประสงค์จะให้เราเกิดความกลัว ความหวาดสะดุ้ง ความขนพอง
สยองเกล้า และประสงค์จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา”
ครั้งนั้นแล กีสาโคตมีภิกษุณีทราบว่า “นี่คือมารผู้มีบาป” จึงได้กล่าวกับมาร
ผู้มีบาปด้วยคาถาว่า
บุตรเราตายมานานแล้ว
บุรุษทั้งหลายก็มีความตายนี้เป็นที่สุดเหมือนกัน
เราไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ ไม่กลัวความตายนั้นหรอก
ท่านผู้มีอายุ เรากำจัดความเพลิดเพลินในสิ่งทั้งปวง
ทำลายความมืด ชนะกองทัพมัจจุแล้ว อยู่อย่างไม่มีอาสวะ
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า “กีสาโคตมีภิกษุณีรู้จักเรา” จึงหายตัว
ไป ณ ที่นั้นเอง
กีสาโคตมีสูตรที่ ๓ จบ

บาลี



โคตมีสุตฺต
[๕๒๘] สาวตฺถีนิทาน ฯ อถ โข กิสาโคตมี ภิกฺขุนี ปุพฺพณฺหสมย
นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถึ ปิณฺฑาย ปาวิสิ สาวตฺถิย
ปิณฺฑาย จริตฺวา ปจฺฉาภตฺต ปิณฺฑปาตปฏิกฺกนฺตา เยน อนฺธวน
เตนุปสงฺกมิ ทิวาวิหาราย อนฺธวน อชฺโฌคเหตฺวา อฺตรสฺมึ
รุกฺขมูเล ทิวาวิหาร นิสีทิ ฯ
[๕๒๙] อถ โข มาโร ปาปิมา กิสาโคตมิยา ภิกฺขุนิยา ภย
ฉมฺภิตตฺต โลมหส อุปฺปาเทตุกาโม สมาธิมฺหา จาเวตุกาโม เยน
กิสาโคตมี ภิกฺขุนี เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา กิสาโคตมึ ภิกฺขุนึ
คาถาย อชฺฌภาสิ
กึ นุ ตฺว หตปุตฺตาว เอกมาสี รุทมฺมุขี
วนมชฺฌคตา เอกา ปุริส นุ คเวสสีติ ฯ
[๕๓๐] อถ โข กิสาโคตมิยา ภิกฺขุนิยา เอตทโหสิ โก นุ
โข อย มนุสฺโส วา อมนุสฺโส วา คาถ ภาสตีติ ฯ อถ โข
กิสาโคตมิยา ภิกฺขุนิยา เอตทโหสิ มาโร โข อย ปาปิมา มม
ภย ฉมฺภิตตฺต โลมหส อุปฺปาเทตุกาโม สมาธิมฺหา จาเวตุกาโม
คาถ ภาสตีติ ฯ อถ โข กิสาโคตมี ภิกฺขุนี มาโร โข อย
ปาปิมา อิติ วิทิตฺวา มาร ปาปิมนฺต คาถาหิ อชฺฌภาสิ
อจฺจนฺต หตปุตฺตมฺหิ ปุริสา เอตทนฺติกา
น โสจามิ น โรทามิ น ต ภายามิ อาวุโส
สพฺพตฺถ วิหิตา ๑ นนฺทิ ตโมกฺขนฺโธ ปทาลิโต
เชตฺวาน มจฺจุโน เสน วิหรามิ อนาสวาติ ฯ
อถ โข มาโร ปาปิมา ชานาติ ม กิสาโคตมี ภิกฺขุนีติ ทุกฺขี
ทุมฺมโน ตตฺเถวนฺตรธายีติ ฯ

******************

๑ โป. ม. ยุ. วิหตา ฯ

อรรถกถา


อรรถกถาโคตมีสูตร
ในโคตมีสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ก็คำว่า กิสาโคตมี เป็นชื่อของภิกษุณีนั้น เพราะเธอมีเนื้อและ
เลือดน้อย. ได้ยินว่า ครั้งก่อนทรัพย์ประมาณ ๘๐ โกฏิ ในเรือนตระกูลแห่ง
หนึ่ง ณ กรุงสาวัตถี กลายเป็นถ่านไปหมด. กุฏุมพีมิได้ขนถ่านไปทิ้ง คิดว่า
จักมีผู้มีบุญไร ๆ เป็นแน่ ด้วยบุญของผู้นั้นทรัพย์จักกลับเป็นปกติอีก จึงเอา
ทองและเงินใส่ถาดเต็มหลายถาดเอาไปวางไว้ที่ตลาดแล้วนั่งอยู่ใกล้ ๆ. ลำดับ
นั้น ธิดาของตระกูลยากจนคนหนึ่ง คิดว่า เราจักถือเอาทรัพย์ครึ่งมาสกแล้วนำ
กิ่งไม้มา เดินไปตามถนน เห็นทรัพย์นั้นจึงกล่าวกะกุฏุมพีว่า ทรัพย์ที่ตลาดมี
ถึงเพียงนี้ ที่เรือนจักมีเพียงไร. กุฏุมพีถามว่า แม่หนู เธอเห็นอะไรจึงได้
พูดอย่างนี้. นางตอบว่า เห็นเงินและทองนี้. กุฏุมพีคิดว่า หญิงคนนี้ชะรอย
จักเป็นผู้มีบุญ จึงถามถึงที่อยู่ของนาง เก็บงำสิ่งของไว้ที่ตลาดแล้วเข้าไปหา
มารดาบิดาของนาง กล่าวอย่างนี้ว่า ในเรือนของเรามีเด็กหนุ่มอยู่ ท่านจงให้
เด็กหญิงคนนี้แก่เขาเถิด มารดาบิดากล่าวว่า นายท่านจักหยอกล้อคนยากจน
ทำไม. กุฏุมพีกล่าวว่า ธรรมดาว่า ความสนิทสนมโดยฐานมิตร ย่อมมีกับคน
ยากจน ท่านทั้งหลายจงให้เถิด นางจักได้เป็นเจ้าของทรัพย์แล้วพานางนำมา
ครองเรือน. นางอยู่ร่วมกันจึงคลอดบุตรชาย. บุตรได้ตายในเวลาพอเดินได้.
นางเกิดในตระกูลเข็ญใจ แม้ได้อยู่ในตระกูลใหญ่ ก็เกิดความเศร้าโศกอย่าง
หนักว่า เราถึงความพินาศเพราะบุตร ไม่เผาศพบุตร อุ้มซากบุตรนั้นเที่ยว
พร่ำเพ้อไปทั่วนคร.
วันหนึ่ง นางไปสำนักพระทศพลตามทางที่จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดประทานยาเพื่อให้ลูก
หายจากโรค. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เจ้าจงเที่ยวไปยังกรุงสาวัตถี จงนำ
เมล็ดพันธุ์ผักกาดจากเรือนที่ไม่เคยมีคนตายมา นั้นจักเป็นยาของลูก นางเข้าไป
สู่นคร ไปขอเมล็ดพันธุ์ผักกาดโดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบอก ตั้งแต่เรือน
หลังไกล ถูกชาวบ้านทุก ๆ หลังเรือนกล่าวว่า เธอจักพบเรือนอย่างนี้แต่ที่ไหน
เที่ยวไปสองสามหลังคาเรือน คิดว่า นัยว่าความตายนี้เป็นธรรมดาของคนทุก
คน ไม่ว่าเราหรือลูก ดังนี้แล้ว จึงทิ้งศพไว้ที่ศาลาแล้วขอบรรพชา. พระศาสดา
ทรงส่งไปสำนักนางภิกษุณีด้วยพระดำรัสว่า จงให้หญิงนี้บวชเถิด. นางบรรลุ
พระอรหัตในขณะจรดปลายมีดโกนนั่นเอง. ท่านหมายเอาพระเถรีนี้จึงกล่าว
ว่า อถ โข กิสาโคตมี ดังนี้.
บทว่า เอกมาสี ตัดเป็น เอกา อาสี. บทว่า รุทมฺมุขี ได้แก่
มีหน้าดังร้องไห้. อนฺต ศัพท์ ในบทว่า อจฺจนฺตํ หตปุตฺตมฺหิ เป็นอัจ-
จันตะส่วนอดีต. บทว่า อจฺจนฺตํ นั้นเป็นภาวนปุงสกลิงค์. ท่านกล่าวอธิบาย
ว่าการตายของบุตร เป็นที่สุด คือเป็นอดีต ฉันใด บุตรที่ตายแล้วก็ฉันนั้น
บัดนี้เราไม่มีลูกตายอีก. บทว่า ปุริสา เอตทนฺติกา ความว่า แม้คนเหล่า
นี้ก็มีความตายนี้เป็นที่สุดเหมือนกัน ที่สุดแห่งความตายของบุตรของเรานี้แหละ
เป็นที่สุดแม้ของคนทั้งหลาย เราจึงไม่ควรแสวงหาบุตรที่ตายในบัดนี้. บทว่า
สพฺพตฺถ วิหตา นนฺทิ ความว่า ความเพลิดเพลินด้วยอำนาจตัณหาในขันธ์
อายตนะ ธาตุ ภพ กำเนิด คติ ฐิติและนิวาสทั้งหมด เราขจัดได้แล้ว. บทว่า
ตโมกฺขนฺโธ ได้แก่กองอวิชชา. บทว่า ปทาลิโต ความว่า ทำลายแล้ว
ด้วยญาณ.
จบอรรถกถาโคตมีสูตรที่ ๓

สนทนาธรรม

comments

Got anything to say? Go ahead and leave a comment!