15-044 บาดาลมีรากอันเดียว
พระไตรปิฎก
๔. เอกมูลสูตร
ว่าด้วยบาดาลมีรากอันเดียว
[๑๔๑] เทวดากล่าวว่า
บาดาลมีรากอันเดียว A มีวนเวียน ๒ อย่าง B
มีมลทิน ๓ ประการ C มีเครื่องลาด ๕ ประการ D
เป็นทะเลหมุนไปได้ทั้ง ๑๒ ด้าน E ฤาษีข้ามพ้นได้แล้ว
เอกมูลสูตรที่ ๔ จบ
เชิงอรรถ
A รากอันเดียว หมายถึงอวิชชา (สํ.ส.อ. ๑/๔๔/๘๒)
B วนเวียน ๒ อย่าง หมายถึงสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ (สํ.ส.อ. ๑/๔๔/๘๒, สํ.ฏีกา ๑/๔๔/๑๒๔)
C มลทิน ๓ ประการ หมายถึงราคะ โทสะ โมหะ (สํ.ส.อ. ๑/๔๔/๘๒)
D เครื่องลาด ๕ ประการ หมายถึงกามคุณทั้ง ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สํ.ส.อ. ๑/๔๔/๘๒)
E หมุนไปได้ทั้ง ๑๒ ด้าน หมายถึงหมุนไปในอายตนะ ๑๒ (สํ.ส.อ. ๑/๔๔/๘๒)
บาลี
เอกมูลสุตฺต
[๑๔๑] เอกมูล ทฺวิอาวฏฺฏ ๑ ติมล ปฺจปตฺถร
สมุทฺท ทฺวาทสาวฏฺฏ ปาตาล อตรี อิสีติ ฯ
******************
๑ สี. ทฺวาวฏฺฏนฺติ วา ทฺวาวทฺธนฺติ วา ปาโ ฯ
อรรถกถา
อรรถกถาเอกมูลสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในเอกมูลสูตรที่ ๔ ต่อไป :-
บทว่า เอกมูลํ ได้แก่อวิชชาเป็นราก (มูล) แห่งตัณหา ทั้งตัณหา
ก็เป็นราก (มูล) แห่งอวิชชา แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาตัณหา. ก็ตัณหานั้น
ย่อมหมุนเป็นไปสองอย่าง คือ ด้วยสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิ เพราะเหตุนั้น
ตัณหานั้น จึงชื่อว่า มีความหมุนเป็นสอง. ตัณหานั้น ชื่อว่า มีมลทินสาม
มีราคะเป็นต้น. โมหะ ก็ชื่อว่ามีมลทินในที่นั้นเพราะเป็นเงื่อนแห่งสหชาตของ
ตัณหานั้น. ราคะโทสะ มีกามคุณห้าเป็นเครื่องลาดของตัณหานั้น เพราะเป็น
เงื่อนแห่งอุปนิสสยะ (คือที่อาศัยอย่างมั่นคง). ตัณหานั้นแหละแผ่ไปในธรรม
เหล่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มีเครื่องลาด ๕. ก็ตัณหานั่นแหละ ชื่อว่า
เป็นสมุทร (ทะเล) เพราะอรรถว่า ไม่รู้จักเต็ม. ตัณหานั้น ย่อมหมุนเวียน
เปลี่ยนไปในอายตนะ ๑๒ ทั้งภายในและภายนอก เพราะเหตุนั้น ตัณหานั้น
จึงชื่อว่าหมุนไปได้ ๑๒ ด้าน. ก็ตัณหานั้น ท่านเรียกว่า บาดาล เพราะ
อรรถว่า ไม่ตั้งมั่น. ฤาษีข้ามแล้ว ข้ามขึ้นแล้ว ย่อมก้าวล่วงซึ่งบาดาล
(ตัณหา) นั้นซึ่งมีรากเดียว ฯลฯ.
จบอรรถกถาเอกมูลสูตรที่ ๔