15-197 กสิภารทวาชพราหมณ์
พระไตรปิฎก
๑. กสิภารทวาชสูตร
ว่าด้วยกสิภารทวาชพราหมณ์
[๖๗๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อเอกนาลา
ทักขิณาคีรีชนบท แคว้นมคธ สมัยนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์ประกอบไถจำนวน
๕๐๐ ในฤดูหว่านข้าว
[๖๗๒] ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตร
และจีวร เสด็จเข้าไปยังที่ทำการงานของกสิภารทวาชพราหมณ์
สมัยนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์กำลังเลี้ยงอาหารกันอยู่ ครั้งนั้น พระผู้มี
พระภาคเสด็จเข้าไปยังสถานที่เลี้ยงอาหารของเขาแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่สมควร
กสิภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับยืนบิณฑบาตอยู่ ได้กราบทูล
ดังนี้ว่า “ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระองค์ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว จึงบริโภค
ข้าแต่พระสมณะ แม้พระองค์ก็จงไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้ว จงบริโภคเถิด”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “พราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่านเหมือนกัน ครั้นไถ
และหว่านแล้วก็บริโภค”
กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า “ข้าพระองค์ไม่เห็นแอก ไถ ผาล ประตัก
หรือโคพลิพัททั้งหลายของท่าน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระโคดมผู้เจริญยังกล่าวอย่างนี้ว่า
‘พราหมณ์ แม้เราก็ไถและหว่าน ครั้นไถและหว่านแล้วก็บริโภค”
[๖๗๓] ครั้งนั้น กสิภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
พระองค์ยืนยันว่าเป็นชาวนา
แต่ข้าพระองค์ไม่เห็นการไถของพระองค์
พระองค์ผู้เป็นชาวนา ข้าพระองค์ถามแล้วขอจงตรัสบอก
ข้าพระองค์จะรู้การไถของพระองค์นั้นได้อย่างไร
[๖๗๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ศรัทธาเป็นพืช ความเพียรเป็นฝน
ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ หิริเป็นงอนไถ
ใจเป็นเชือก สติของเราเป็นผาลและประตัก
เราคุ้มครองกาย คุ้มครองวาจาได้แล้ว
สำรวมในการบริโภคอาหาร
เราดายหญ้า [คือวาจาสับปลับ] ด้วยคำสัตย์
โสรัจจะของเราช่วยทำงานให้สำเร็จ
ความเพียรของเราช่วยนำธุระไปให้ถึงความเกษมจากโยคะ
นำไปไม่ถอยหลัง นำไปถึงที่ ซึ่งบุคคลไปแล้วไม่เศร้าโศก
เราทำนาอย่างนี้ นาที่เราทำนั้นมีผลเป็นอมตะ A
บุคคลครั้นทำนาอย่างนี้แล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
กสิภารทวาชพราหมณ์กราบทูลว่า “พระโคดมผู้เจริญ ผู้เป็นชาวนา ขอจง
บริโภคผลที่เป็นอมตะที่ท่านไถเถิด”
[๖๗๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
การที่เรากล่าวคาถามิใช่เพื่ออาหาร
พราหมณ์ นี้ไม่ใช่ธรรมเนียมของผู้เห็นธรรม
พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่รับอาหารที่ได้มาเพราะการกล่าวคาถา
พราหมณ์ เมื่อธรรมเนียมมีอยู่ จึงมีการประพฤติอย่างนี้
ท่านจงบำรุงด้วยข้าวและน้ำ และด้วยปัจจัยอื่น
แก่พระขีณาสพ ผู้ประกอบด้วยคุณทั้งปวง
ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้มีความคะนองอันสงบแล้ว
เพราะศาสนานั้นเป็นเขตบุญของผู้แสวงบุญ B
[๖๗๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว กสิภารทวาชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้
มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก
ฯลฯ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ
ขอพระโคดมผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้
เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต”
กสิภารทวาชสูตรที่ ๑ จบ
เชิงอรรถ
A อมตะ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน (สํ.ส.อ. ๑/๑๙๗/๒๔๓)
B ดูเทียบคาถาข้อ ๑๙๔ หน้า ๒๗๔-๒๗๕ ในเล่มนี้
บาลี
กสิสุตฺต
[๖๗๑] เอวมฺเม สุต เอก สมย ภควา มคเธสุ วิหรติ
ทกฺขิณาคิริสฺมึ เอกนาลาย พฺราหฺมณคาเม ฯ เตน โข ปน สมเยน
กสิภารทฺวาชสฺส พฺราหฺมณสฺส ปฺจมตฺตานิ นงฺคลสตานิ ปยุตฺตานิ
โหนฺติ วปฺปกาเล ฯ
[๖๗๒] อถ โข ภควา ปุพฺพณฺหสมย นิวาเสตฺวา ปตฺตจีวรมาทาย
เยน กสิภารทฺวาชสฺส พฺราหฺมณสฺส กมฺมนฺโต เตนุปสงฺกมิ ฯ
เตน โข ปน สมเยน กสิภารทฺวาชสฺส พฺราหฺมณสฺส ปริเวสนา
วตฺตติ ฯ อถ โข ภควา เยน ปริเวสนา เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา
เอกมนฺต อฏฺาสิ ฯ อทฺทสา โข กสิภารทฺวาโช
พฺราหฺมโณ ภควนฺต ปิณฺฑาย ิต ทิสฺวาน ภควนฺต เอตทโวจ
อห โข สมณ กสามิ จ วปามิ จ กสิตฺวา จ วปิตฺวา จ
ภฺุชามิ ตฺวมฺปิ สมณ กส จ วปสฺสุ จ กสิตฺวา จ วปิตฺวา จ
ภฺุชสฺสูติ ฯ อหมฺปิ โข พฺราหฺมณ กสามิ จ วปามิ จ กสิตฺวา จ
วปิตฺวา จ ภฺุชามีติ ฯ น โข ปน มย ปสฺสาม โภโต โคตมสฺส
ยุค วา นงฺคล วา ผาล วา ปาจน วา พลิพทฺเท วา อถ จ
ปน ภว โคตโม เอวมาห อหมฺปิ โข พฺราหฺมณ กสามิ จ
วปามิ จ กสิตฺวา จ วปิตฺวา จ ภฺุชามีติ ฯ
[๖๗๓] อถ โข กสิภารทฺวาโช พฺราหฺมโณ ภควนฺต คาถาย
อชฺฌภาสิ
กสฺสโก ปฏิชานาสิ น จ ปสฺสามิ เต กสึ
กสฺสโก ปุจฺฉิโต พฺรูหิ กถ ชาเนมุ ต กสินฺติ ฯ
[๖๗๔] สทฺธา พีช ตโป วุฏฺิ ปฺา เม ยุคนงฺคล
หิริ อีสา มโน โยตฺต สติ เม ผาลปาจน
กายคุตฺโต วจีคุตฺโต อาหาเร อุทเร ยโต
สจฺจ กโรมิ นิทฺทาน โสรจฺจ เม ปโมจน
วิริย เม ธุรโธรยฺห โยคกฺเขมาธิวาหน
คจฺฉติ อนิวตฺตนฺต ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจติ
เอวเมสา กสี กฏฺา สา โหติ อมตปฺผลา
เอต กสึ กสิตฺวาน สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจตีติ ฯ
ภฺุชตุ ภว โคตโม กสฺสโก ภว ยฺหิ ภว โคตโม อมตปฺผลปิ ๑
กสตีติ ฯ
[๖๗๕] คาถาภิคีต เม อโภชเนยฺย
สมฺปสฺสต พฺราหฺมณ เอส ๒ ธมฺโม
คาถาภิคีต ปนุทนฺติ พุทฺธา
ธมฺเม สติ พฺราหฺมณ วุตฺติ เรสา
อฺเน จ เกวลิน มเหสึ
ขีณาสว กุกฺกุจฺจวูปสนฺต
อนฺเนน ปาเนน อุปฏฺหสฺสุ
เขตฺตฺหิ ต ปฺุเปกฺขสฺส โหตีติ ฯ
[๖๗๖] เอว วุตฺเต กสิภารทฺวาโช พฺราหฺมโณ ภควนฺต
เอตทโวจ อภิกฺกนฺต โภ โคตม อภิกฺกนฺต โภ โคตม ฯเปฯ
อชฺชตคฺเค ปาณุเปต สรณงฺคตนฺติ ฯ
******************
๑ ม. ยุ. เอตฺถนฺตเร กสึ อิติ ทิสฺสติ ฯ ๒ เนส ฯ
อรรถกถา
อรรถกถาสิสูตร
ในกสิสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มคเธสุ ได้แก่ ในชนบทมีชื่ออย่างนั้น. บทว่า ทกฺขิณา
คิริสฺมึ นั้นแล เป็นชื่อแม้แห่งวิหารในชนบทที่มีอยู่ด้านทิศใต้ แห่งภูเขา
ที่ตั้งล้อมกรุงราชคฤห์อยู่. บทว่า เอกนาลา ในคำว่า เอกนาลายํ
พฺราหฺมณคาเม นี้เป็นชื่อของบ้านนั้น. ส่วนพวกพราหมณ์อาศัยอยู่ในบ้าน
นั้นเป็นอันมาก มีความร่าเริง ด้วยการปกครองของพราหมณ์ เพราะฉะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า พราหมณคาม.
บทว่า เตนโข ปน สมเยน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัย
พราหมณคาม ชื่อว่า เอกนาล ในมคธรัฐ ทรงรอคอยความแก่กล้าแห่งอินทรีย์
ของพราหมณ์ ในทักขิณาคิรีวิหาร ตลอดสมัยใด โดยสมัยนั้น. บทว่า
กสิภารทฺวาชสฺส ความว่า พราหมณ์นั้นอาศัยกสิกรรมเลี้ยงชีพ และโคตร
สกุลของเขาชื่อว่า ภารทวาชะ. บทว่า ปญฺจมตฺตานิ แปลว่า มีประมาณ
๕. ท่านอธิบายไว้ว่า มีไถประมาณ ๕๐๐ ไม่หย่อนไม่เกิน. บทว่า ปยุตฺตานิ
แปลว่า ประกอบแล้ว อธิบายว่า เอาเชือกผูกคอโคทั้งหลาย. บทว่า วปฺปกาเล
ได้แก่ ในเวลาหว่านคือในสมัยซัดพืช. ในการหว่านนั้น มี ๒ อย่างคือหว่าน
ในเนื้อที่นาเป็นตม และหว่านในเนื้อที่เป็นฝุ่น ก็การหว่านในเนื้อที่เป็นฝุ่นนั้น
ท่านประสงค์เอาในที่นี้. ก็การหว่านในพื้นที่เป็นฝุ่นนั้นแล เป็นการหว่านที่
เป็นมงคลในวันแรก ในการนั้นต้องมีเครื่องอุปกรณ์พร้อมมูล คือต้องใช้โค
ถึงสามพันตัว. โคทั้งหมดต้องสวมเขาทำด้วยทอง คล้องอกทำด้วยเงิน.
โคทั้งหมดประดับด้วยดอกไม้ขาว เจิมของหอมด้วยนิ้วทั้ง ๕ มีอวัยวะครบ
บริบูรณ์ สมบูรณ์ด้วยลักษณะดีทุกอย่าง บางพวกดำ มีสีคล้ายดอกอัญชัน
บางพวกขาว มีสีคล้ายเมฆ บางพวกแดง มีสีคล้ายแก้วประพาฬ บางพวกด่าง
มีสีคล้ายแก้วลาย. คนไถ ๕๐๐ คน ทุกคนประดับด้วยผ้าใหม่สีขาวและดอกไม้
ติดเทริดดอกไม้ที่บ่าขวา มีร่างกายรุ่งเรื่องด้วยลายเขียนด้วยหรดาลและมโนศิลา
เป็นต้น แบ่งเป็นพวก ๆ พวกหนึ่งมีไถ ๑๐ คัน งอนไถ แอก และปฏัก
ประดับทอง ไถคันแรกเทียมโคงาน ๘ ตัว ไถคันที่เหลือเทียมคันละ ๔ ตัว
ไถนอกนั้นนำมาสำหรับผลัดเปลี่ยนคนที่เหนื่อย
พวกหนึ่ง ๆ มีเกวียนบรรทุกเมล็ดพืชเล่มหนึ่ง คนไถคนหนึ่ง คนหว่าน
คนหนึ่ง.
ฝ่ายพราหมณ์ ชั้นแรกทีเดียวให้แต่งหนวด อาบน้ำ ไล้ทาด้วยของหอม
นุ่งผ้าราคา ๕๐๐ ห่มผ้าเฉวียงบ่าราคา ๑,๐๐๐ สวมแหวนนิ้วละ ๒ วง รวม
เป็นแหวน ๒๐ วง ประดับตุ้มหูรูปราชสีห์ที่หูทั้งสอง สวมผ้าโพกอย่างประเสริฐ
บนศีรษะ คล้องมาลัยทองที่คอ แวดล้อมไปด้วยหมู่พราหมณ์ สั่งการงาน.
ลำดับนั้น นางพราหมณีของเขาให้หุงข้าวปายาสใส่ภาชนะหลายร้อยใบ บรรทุก
เกวียนใหญ่หลายเล่ม แล้วอาบน้ำหอม ประดับด้วยเครื่องประดับทั้งปวง
แวดล้อมไปด้วยหมู่พราหมณี ได้ไปสู่ที่การงาน. แม้เรือนของพราหมณ์นั้น
ก็ทาของเขียว โปรยข้าวตอกเกลื่อนกลาด ประดับด้วยหม้อเต็มน้ำ ต้นกล้วย
ธงชาย และธงประฏาก กระทำพลีกรรมอย่างดี ด้วยของหอมและดอกไม้
เป็นต้น. และที่นาก็ได้ยกธงชายและธงประฏากขึ้นในที่นั้น ๆ. ชนผู้เป็นบริวาร
และชนผู้ทำงานรวมเป็นบริษัทมีคนประมาณ ๒,๕๐๐ คน. คนทั้งหมดนำผ้ามา.
ทุกคนจัดเฉพาะข้าวปายาสมาเท่านั้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์ให้ล้างถาดทองใส่ข้าวปายาสเต็ม ประดับด้วย
เนยใสน้ำผึ้งน้ำอ้อย ให้กระทำพลีกรรมไถ. นางพราหมณีให้แจกภาชนะ
ทองเงินสำริด ทองแดงและโลหะแก่ชาวนา ๕๐๐ คน ถือทัพพีทอง
เดินเลี้ยงข้าวปายาส. ฝ่ายพราหมณ์ให้กระทำพลีกรรมแล้ว คาดกายด้วยผ้าแดง
สวมรองเท้า ถือไม้เท้าทองสีแดงเที่ยวสั่งงานว่า ตรงนี้จงให้ข้าวปายาส ตรงนี้
จงให้เนยใส. ความเป็นไปในการงาน เท่านี้ก่อน.
ในที่ที่พระสัมพุทธเจ้าทั้งหลายประทับอยู่ในวิหาร พระสัมพุทธเจ้า
เหล่านั้นย่อมมีกิจประจำวัน ๕ อย่าง. อะไรบ้าง. กิจในปุเรภัต ๑ กิจใน
ปัจฉาภัต ๑ กิจในปุริมยาม ๑ กิจในมัชฌิมยาม ๑ กิจในปัจฉิมยาม ๑.
ใน ๕ อย่างนั้น กิจในปุเรภัต ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลุก
แต่เช้าทีเดียว ทรงทำบริกรรมพระวรกายมีบ้านพระโอษฐ์เป็นต้น เพื่อ
อนุเคราะห์ภิกษุผู้อุปัฏฐาก และเพื่อสำราญพระวรกาย แล้วทรงให้เวลาล่วง
ณ เสนาสนะ ที่สงัดจนถึงเวลาเสด็จภิกขาจาร ถึงเวลาเสด็จภิกขาจารก็ทรง
นุ่งสบงคาดประคดเอวแล้วทรงห่มจีวร ทรงถือบาตร บางตรงเสด็จพระองค์
เดียว บางคราวแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปยังคามหรือนิคมเพื่อ
บิณฑบาต. บางครั้งก็เสด็จเข้าไปตามปกติ บางครั้งก็มีปาฏิหาริย์หลายอย่าง
เป็นไปอยู่. คือ เมื่อพระโลกนาถเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ลมอ่อนพัดชำระ
แผ่นดินให้สะอาดไปข้างหน้า เมฆฝนหลั่งน้ำลงเป็นหยด ๆ ให้ละอองใน
หนทางเรียบราบกั้นเป็นเพดานอยู่เบื้องบน. ลมอีกอย่างพัดเอาดอกไม้มา
เบื้องบนเกลี่ยลงในหนทาง. ภูมิประเทศที่สูงขึ้นก็ต่ำลง ภูมิประเทศที่ต่ำลงก็
สูงขึ้น ในสมัยทอดพระบาทลง พื้นแผ่นดินย่อมเรียบเสมอ. ดอกปทุม
ที่เป็นสุขสัมผัส ย่อมรับพระบาท. พอพระองค์วางพระบาทขวาภายในเสาเขื่อน
รัศมีมีพรรณ ๖ สร้านออกจากพระสรีระ กระทำเรือนยอดปราสาท ให้มี
สี่เหลี่อมพรายด้วยน้ำทอง และให้เป็นเหมือนแวดล้อมด้วยแผ่นผ้าอันวิจิตร
สร้านไปข้างโน้นข้างนี้. ช้างม้าและวิหคเป็นต้นยืนอยู่ในที่ของตน ๆ ส่งเสียง
ด้วยอาการอันไพเราะ. ดนตรีมีกลองและพิณเป็นต้น และอาภรณ์ที่สวมกาย
พวกมนุษย์อยู่ ก็เป็นอย่างนั้น. ด้วยสัญญาณนั้น พวกมนุษย์ย่อมรู้กันว่า
วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จเข้ามาบิณฑบาตในที่นี้. พวกเขานุ่งห่มเรียบร้อย
ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น ออกจากเรือนเดินไประหว่างถนน บูชา
พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้เป็นต้นโดยเคารพ ถวายบังคมแล้ว ทูลขอว่า
พระเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุแก่พวกข้าพระองค์ ๑๐ รูป แก่พวก
ข้าพระองค์ ๒๐ รูป แก่พวกข้าพระองค์ ๑๐๐ รูป พระเจ้าข้า รับบาตรของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วให้ปูลาดอาสนะ ต้อนรับด้วยบิณฑบาตโดยเคารพ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้วทรงตรวจดูสันดาน
ของมนุษย์เหล่านั้นแล้วทรงแสดงธรรมอย่างนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
อนุเคราะห์มหาชน โดยประการที่ชนบางพวกดำรงอยู่ในสรณคมน์ บางพวก
ดำรงอยู่ในศีล ๕ บางพวกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล สกทาคามิผลและ
อนาคามิผลอย่างใดอย่างหนึ่ง บางพวกบวชแล้วดำรงอยู่ในอรหัตซึ่งเป็นผล
อันเลิศ ทรงลุกจากอาสนะเสด็จไปพระวิหาร. ประทับนั่งเหนือบวรพุทธอาสน์
ที่ปูลาดไว้ในโรงกลมใกล้พระคันธกุฎี ทรงรอคอยให้ภิกษุทั้งหลายฉันเสร็จ
ต่อแต่นั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายฉันเสร็จ ภิกษุผู้อุปัฏฐากก็กราบทูลพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าให้ทรงทราบ. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี.
นี้ เป็นกิจในปุเรภัตเป็นอันคับแรก.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำกิจในปุเรภัตอย่างนี้แล้ว
ประทับนั่งในที่บำรุงที่พระคันธกุฎี ทรงให้ทาพระบาทแล้วประทับยืนบนตั่ง
รองพระบาท ทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจง
ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด การอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าหาได้ยากในโลก
การได้อัตภาพเป็นมนุษย์หาได้ยาก การถึงพร้อมด้วยศรัทธาหาได้ยาก การ
บรรพชาหาได้ยาก การฟังพระสัทธรรมหาได้ยาก ดังนี้. ในที่นั้น บางพวก
ทูลถามกัมมัฏฐานกะพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทาน
กัมมัฏฐานอันเหมาะสมแก่จริยาของภิกษุเหล่านั้น. แต่นั้นภิกษุทั้งหมดถวาย-
บังคมพระมีพระภาคเจ้าแล้ว ไปยังที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันของตน ๆ
บางพวกไปสู่ป่า บางพวกไปสู่โคนไม้ บางพวกไปสู่ภูเขาเป็นต้นแห่งใดแห่งหน
บางพวกไปสู่ภพชั้นจาตุมหาราชิกา บางพวกไปสู่ภพชั้นวสวัตตี ดังนี้แล
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ถ้าพระองค์มีพระพุทธ
ประสงค์ ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สำเร็จสีหไสยาสน์ครู่หนึ่งโดยพระปรัศว์
เบื้องขวา. ลำดับนั้น พระองค์ทรงมีพระวรกายกรูปรี้กระเปร่า ทรงลุกขึ้น
ตรวจดูโลกในภาคที่ ๒. ในภาคที่ ๓ ในบ้านหรือนิคมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
เสด็จเข้าไปอาศัยประทับอยู่ ในปุเรภัต มหาชนถวายทาน ในปัจฉาภัตเขา
นุ่งห่มเรียบร้อยถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นประชุมกันในวิหาร. ลำดับนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปด้วยปาฏิหาริย์อันเหมาะสมแก่บริษัทที่ประชุมกัน
ประทับนั่งเหนือบวรพุทธาอาสน์ที่เขาปูลาดไว้ในธรรมสภาแสดงธรรม นี้
สมควรแก่กาล สมควรแก่สมัย ครั้นทรงทราบเวลาจึงทรงส่งบริษัทไป.
มนุษย์ทั้งหลายพากันถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป. นี้ เป็นกิจใน
ปัจฉาภัต.
ครั้นพระองค์เสร็จกิจในปัจฉาภัตอย่างนี้แล้ว ถ้ามีพระประสงค์จะ
โสรจสรงพระวรกาย ทรงลุกจากพุทธอาสน์ เสด็จเข้าซุ้มเป็นที่สรง ทำพระ
วรกายให้เหมาะกับฤดูกาลด้วยน้ำที่อุปัฏฐากจัดถวาย. ฝ่ายอุปัฎฐาก ได้นำ
พุทธอาสน์มาปูไว้ในบริเวณพระคันธุฎี. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งผ้าที่ย้อม
แล้ว ๒ ชั้น คาดประคดเอว ทำเฉวียงบ่าเสด็จมาประทับนั่ง ณ ที่นั้น เร้นอยู่
ครู่หนึ่งแต่พระองค์เดียว. ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายมาจากที่นั้น ๆ ไปยังที่
อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า. บรรดาภิกษุเหล่านั้น บางพวกถามปัญหา บางพวก
ขอกัมมัฏฐาน บางพวกขอฟังธรรม. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำความประสงค์
ของภิกษุเหล่านั้นให้สำเร็จ ให้ปุริมยามล่วงไป. นี้ เป็นกิจในปุริมยาม.
ก็ในเวลาที่กิจในปุริมยามสิ้นสุดลง เมื่อภิกษุทั้งหลายถวายบังคม
พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป เหล่าเทวดาในหมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นได้โอกาส
เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถามปัญหาตามที่แต่งขึ้น โดยที่สุดถามถึงอักขระทั้ง ๔
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแก้ปัญหาของเทวดาเหล่านั้น ก็ให้มัชฌิมยาม
ล่วงไป. นี้ เป็นกิจในมัชฌิมยาม.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแบ่งปัจฉิมยามออกเป็น ๓ ส่วนแล้ว ทรงให้
ส่วนหนึ่งล่วงไปด้วยการจงกรม เพื่อจะทรงปลดเปลื้องความบอบข้าแห่งพระ
วรกาย ซึ่งถูกการนั่งจำเดิมแต่ปุเรภัตบีบคั้น. ในส่วนที ๒ พระองค์เสด็จเข้าไป
ยังพระคันธกุฏีทรงมีพระสติ สัมปชัญญะ สำเร็จสีหไสยาสน์โดยพระปรัศว์เบื้อง
ขวา. ในส่วนที่ ๓ พระองค์เสด็จลุกขึ้นประทับนั่ง ตรวจดูสัตว์โลก ด้วย
พุทธจักษุ เพื่อทรงเห็นบุคคลผู้ที่ได้สร้างบุญญาธิการไว้ โดยคุณมีทานและ
ศีลเป็นต้น ในสำนักแห่งพระพุทธเจ้าในปางก่อนทั้งหลาย. นี้เป็นกิจในปัจฉิมยาม.
แม้ในกาลนั้น พระองค์ทรงตรวจดูอย่างนี้ทรงเห็นกสิภารทวาช-
พราหมณ์ ถึงพร้อมด้วยธรรมอัน เป็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตแล้ว ทรงทราบ
ว่าเมื่อเราไปในที่นั้น จักมีการพูดจากัน เมื่อจบการพูดจากัน พราหมณ์นั้น
ฟังธรรมเทศนาแล้วพร้อมด้วยบุตรและภรรยา จักตั้งอยู่ในสรณะ ๓ จักหว่าน
ทรัพย์ ๘๐ โกฏิ ในศาสนาของเรา ภายหลังจักออกบรรพชา จักบรรลุพระอรหัต
ดังนี้ จึงเสด็จไปในที่นั้น ทรงตั้งเรื่องขึ้นแล้วแสดงธรรม. เพื่อจะแสดงความ
นั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข ภควา ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า ปุพฺพณฺหสมยํ นี้ เป็นทุติยาวิภัติ ลง
ในอรรถแห่งสัตตมีวิภัติ. ความว่า เวลาเช้า. บทว่า นิวาเสตฺวา ได้แก่
ทรงนุ่ง. คำนั้น ท่านกล่าวโดยการผลัดเปลี่ยนจีวรในวิหาร. บทว่า ปตฺตจีวร-
มาทาย ความว่า ใช้มือถือบาตร ใช้กายถือจีวร อธิบายว่า รับคือทรงไว้.
ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะเสด็จเข้าไปบิณฑบาต บาตรหิน
มีสีดังแก้วอินทนิลและแก้วมณีย่อมมาสู่ท่ามกลางพระหัตถ์ทั้งสอง ของพระผู้มี
พระภาคเจ้าเหมือนแมลงภู่ มาสู่ท่านกลางดอกปทุมทั้ง ๒ ที่แย้มบานฉะนั้น.
อธิบายว่า รับบาตรนั้นที่มาถึงแล้วอย่างนี้ด้วยพระหัตถ์ทั้ง ๒ ทรงจีวรที่ห่มเป็น
ปริมณฑลด้วยพระวรกาย. บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระองค์ผู้เดียวเสด็จ
เข้าไปโดยหนทางที่การงานจะพึงดำเนินไป. ถามว่า ก็เพราะเหตุไรภิกษุทั้ง
หลายจึงไม่ติดตามพระองค์ไป. ตอบว่า เพราะในกาลใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมมีพระประสงค์จะเสด็จไปในที่ไหน ๆ แต่ผู้เดียว ในเวลาภิกษาจาร พระ-
องค์ทรงปิดพระทวาร ทรงประทับนั่งในภายในพระคันธกุฏี. ภิกษุทั้งหลายรู้
ด้วยสัญญานั้นว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระประสงค์จะเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
แต่พระองค์เดียว พระองค์ได้ทรงเห็นบุคคลทีควรแนะนำ สักคนหนึ่งเป็นแน่
แท้. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นถือบาตรและจีวรของตน กระทำปทักษิณพระ-
คันธกุฏีถวายบังคมแล้วไปสู่ที่ภิกษาจาร. ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ทรงกระทำอย่างนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ติดตาม
บทว่า ปริเวสนา วตฺตติ ความว่า การเลี้ยงอาหาร ของชาวนา
๕๐๐ ผู้นั่งถือภาชนะทองเป็นต้นเหล่านั้นเป็นอันกระทำค้างไว้. บทว่า เอกมนฺตํ
อฏฺาสิ ความว่า ประทับยืนในที่ที่คนยืนแล้วพราหมณ์จะเห็นได้ คือในที่
สูงมีความผาสุกในทัสสนูปจารเห็นปานนั้น.
ก็แล ครั้นพระองค์ประทับยืนแล้วทรงเปล่งรัศมีพระวรกายมีสีเหลือง
ดังทองธรรมชาติโดยรอบ ไพโรจน์ล่วงรัศมีพระจันทร์และพระอาทิตย์ แผ่
คลุมโรงงาน ฝาเรือน ต้นไม้และก้อนดิน ที่ไถเป็นต้นของพราหมณ์ ได้
เป็นเสมือนทำด้วยทอง ลำดับนั้นพวกมนุษย์กำลังบริโภคอยู่ก็มี กำลังไถนำอยู่ก็
มี ต่างพากันละทิ้งกิจทุกอย่าง เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระวรกายประดับ
ด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีอนุพยัญชนะ ๘๐ เป็นบริวาร และคู่
พระพาหาซึ่งงดงามด้วยรัศมีที่แผ่สร้านออกวาหนึ่ง ทรงรุ่งเรื่องด้วยพระสิริ ราว
กะว่าสระปทุมที่เกิดบนแผ่นดิน เพียงดังท้องฟ้าที่มีหมู่ดาวส่องแสงระยิบระยับ
และเพียงดังสุวรรณบรรพตอันประเสริฐที่ห่อหุ้มด้วยสายฟ้า ต่างล้างมือและเท้า
เข้าไปยืนแวดล้อมประคองอัญชลีอยู่. กสิภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มี-
พระภาคเจ้าแวดล้อมไปด้วยชนเหล่านั้น เสด็จบิณฑบาตด้วยอาการอย่างนี้
ครั้นเห็นแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า อหํ โข สมณ กสา-
มิ จ วปามิ จ ดังนี้.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พราหมณ์นี้จึงกล่าวอย่างนี้ว่า จัดข้าวปายาสแก่
ชน ๒,๕๐๐ คน ด้วยความไม่เลื่อมใสในพระตถาคตผู้แม้ถึงการฝึกฝนและความ
สงบอย่างสูงสุด ผู้นำมาซึ่งความเลื่อมใสโดยรอบ เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส
หรือว่าด้วยความตระหนี่ภิกษาในทัพพี. ตอบว่า ไม่ใช่ทั้ง ๒ อย่าง แต่พราหมณ์
เห็นชนไม่อิ่มด้วยการดูพระผู้มีพระภาคเจ้า ทอดทิ้งการงานจึงไม่พอใจว่าพระผู้มี
พระภาคเจ้าเสด็จมาทำลายการงานของเรา ฉะนั้น พราหมณ์จึงกล่าวอย่างนั้น.
และเพราะพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสมบูรณ์ด้วยพระลักษณะ
คิดว่าถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้านี้จักได้ประกอบการงานไซร้ พระองค์ก็จักได้เป็นดุจ
จุฬามณีบนศีรษะของพวกมนุษย์ทั่วชมพูทวีป ประโยชน์อะไรจักไม่สำเร็จแก่
พระองค์เล่า ด้วยอาการอย่างนี้แล พระองค์ไม่ประกอบการงานเพราะความ
เกียจคร้านเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในงานวัปปมงคลเป็นต้น ดังนี้ จึงเกิดความไม่
พอใจ. ด้วยเหตุนั้น พราหมณ์จึงกล่าวว่า อหํ โข สมณ กสามิ จ วปามิ
จ กสิตฺวา จ วปิตฺวา จ ภิญฺชามิ ดังนี้.
ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีความประสงค์ดังนี้ว่า การงานทั้งหลายแม้
ของเรายังไม่พินาศก่อน เรามิได้เป็นผู้มีลักษณะสมบูรณ์เหมือนท่าน แม้ท่าน
ไถและหว่านแล้วจงบริโภคเถิด ประโยชน์อะไรจะไม่พึงสำเร็จแก่ท่านผู้สมบูรณ์
ด้วยลักษณะอย่างนี้เล่า. อีกอย่างหนึ่ง พราหมณ์ได้ฟังว่า เล่ากันมาว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้านั้น เป็นกุมารเกิดในสักยราชตระกูล ละความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
ทรงผนวช เพราะเหตุดังนี้ พราหมณ์รู้ในบัดนี้ว่า ผู้นี้คือผู้นั้นยกขึ้นติเตียนว่า
ท่านละความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิลำบากแล้วจึงกล่าวอย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง
พราหมณ์นี้มีปัญญาแก่กล้าจะกล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยไม่เลื่อมใสก็หาไม่.
แต่ได้เห็นรูปสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงสรรเสริญบุญสมบัติกล่าวอย่างนี้
เพื่อให้มีการพูดจากันบ้าง. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงพระองค์
ว่าเป็นผู้ไถผู้หว่านชั้นเลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลกโดยเป็นเวไนยสัตว์ จึงได้ตรัส
ว่า อหมฺปิ โข พฺราหฺมณ เป็นต้น.
ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า สมณะนี้กล่าวว่า แม้เราก็ไถก็หว่าน แต่
เราไม่เห็นเครื่องไถมีแอกและไถเป็นต้นที่ใหญ่ ๆ ของสมณะนี้ สมณะนี้กล่าว
เท็จหรือหนอตรวจดูพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงปลายพระเกศา
เพราะตนสำเร็จวิชาดูลักษณะ จึงรู้ว่าสมณะนั้นสมบูรณ์ด้วยลักษณะประเสริฐ
๓๒ ประการ เหตุได้สั่งสมบุญญาธิการไว้ เกิดมานะอย่างแรงกล่าว่า ข้อที่
สมณะเห็นปานนี้พูดมุสามิใช่ฐานะที่จะเป็นได้ จึงละวาทะว่าสมณะในพระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อจะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยโคตร จึงกล่าวว่า น โข ปน
มยํ ปสฺสาม โภโต โคตมสฺส เป็นต้น. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะ
ทรงแสดงพุทธานุภาพ เพราะเหตุที่ขึ้นชื่อว่าการกล่าวด้วยเป็นผู้เทียบด้วยธรรม
มีในก่อน เป็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงตรัสคำมีอาทิว่า สทฺธา
พีชํ ดังนี้.
ถามว่า ก็ในข้อนี้ ความเป็นผู้มีส่วนเสมอด้วยธรรมมีในก่อน คือ
อะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพราหมณ์ถามถึงเครื่องไถมีแอกและไถเป็นต้น
มิใช่หรือ แต่พระองค์ตรัสว่า สทฺธา พีชํ เป็นต้น เพราะพืชที่ไม่ถูกถาม
เทียบกันได้ และเมื่อเป็นเช่นนั้น แม้ถ้อยคำก็ต่อกัน ไม่ได้ ธรรมดาว่าถ้อยคำ
ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ต่อกันไม่ได้ จะมีไม่ได้เลย. พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
จะตรัสด้วยความที่ธรรมมีในก่อนเทียบกันไม่ได้ ก็หาไม่. ก็ในข้อนี้ พึงทราบ
อนุสนธิอย่างนี้ว่า จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกพราหมณ์ถามถึงการไถ โดย
เครื่องไถมีแอกและไถเป็นต้น. ด้วยความอนุเคราะห์พราหมณ์นั้น พระองค์
ประสงค์ให้พราหมณ์ทราบเรื่องการไถพร้อมทั้งมูล พร้อมทั้งอุปการะ พร้อม
ทั้งสัมภาระที่เหลือ พร้อมทั้งผล มิให้ลดน้อยลง ด้วยพระดำริว่า ข้อนี้เขา
มิได้ถาม เมื่อจะทรงแสดงจำเดิมแต่ต้นมา จึงตรัสคำมีอาทิว่า สทฺธา พีชํ
ดังนี้. พืชในเรื่องนั้น เป็นมูลของการไถ เพราะเมื่อพืชมีก็ควรทำ เมื่อพืช
ไม่มี ก็ไม่ควรทำ แต่ควรทำให้พอเหมาะแก่พืชนั้น เพราะเมื่อมีพืช ชาวนา
ย่อมไถนา เมื่อไม่มีก็ไม่ไถ. ชาวนาผู้ฉลาดย่อมไถนาพอเหมาะแก่พืชเท่านั้น.
ไม่ทำให้พร่องด้วยคิดว่า ข้าวกล้าของเราอย่าเสียหาย ไม่ทำให้เกินด้วยคิดว่า
ความพยายามของเราอย่าได้ไร้ประโยชน์. ก็เพราะพืชนั่นแหละเป็นมูล ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงการไถตั้งแต่มูล คือทรงแสดงธรรม
เบื้องต้นแห่งการไถของพระองค์ โดยความที่พืชคือธรรมเบื้องต้นเทียบได้กับ
การไถของพราหมณ์นั้น จึงตรัสว่า สทฺธา พีชํ ดังนี้. ในข้อนี้แม้ความ
ที่การไถของพราหมณ์เทียบได้ด้วยธรรมเบื้องต้น ก็พึงทราบอย่างนี้.
หากจะมีคำถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเฉพาะที่
พราหมณ์ถามเท่านั้น ไม่ตรัสข้อที่ไม่ถามภายหลัง. แก้ว่า เพราะพระองค์เป็น
ผู้อุปการะแก่พราหมณ์นั้น และเพราะพระองค์เป็นผู้สามารถเชื่อมพระธรรม.
จริงอยู่ พราหมณ์นี้เป็นผู้ไม่มีศรัทธาเพราะเกิดในตระกูลมิจฉาทิฏฐิตระกูลหนึ่ง
แต่เป็นผู้มีปัญญา ไม่ปฏิบัติในข้อที่มิใช่วิสัยของตนที่เกี่ยวถึงผู้อื่น จึงไม่ได้
บรรลุคุณวิเศษ. ก็ศรัทธาของพราหมณ์นั้นเพียงปราศจากกิเลสและธรรมฝ่ายดำ
ที่ฟูขึ้น มีลักษณะเพียงความผ่องใส มีกำลังน้อย เป็นไปกับด้วยปัญญาซึ่งมี
กำลัง จึงไม่ท่าให้สำเร็จประโยชน์ เหมือนโคที่เทียมในแอกเดียวกับช้าง ดังนั้น
ศรัทธาของเขาจึงเป็นเครื่องสนับสนุน ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรง
สถาปนาพราหมณ์นั้นไว้ในศรัทธา จึงตรัสเนื้อความนี้ที่ควรจะตรัสแม้ใน
ภายหลัง เอามาตรัสเสียก่อน เพราะความที่ทรงเป็นผู้ฉลาดในเทศนา. ก็ฝน
เป็นอุปการะแก่พืช ฝนนั้นพระองค์ตรัสในลำดับนั่นเอง จึงเป็นธรรมชาติ
ที่สามารถ ความข้อนี้พระองค์ควรตรัสแม้ภายหลัง เพราะความที่ทรงสามารถ
เชื่อมพระธรรม. เครื่องไถอื่น ๆ มีงอนไถและเชือกเป็นต้น เห็นปานนี้ พึง
ทราบว่า ตรัสก่อนแล้ว.
ในข้อนั้น ศรัทธามีความผ่องใสเป็นลักษณะ หรือมีความปักใจลง
เป็นลักษณะ. บทว่า พีชํ ได้แก่ พืช ๕ อย่าง คือ พืชเกิดแต่ราก พืช
เกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ข้อ พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ ๕
ทั้งหมดนั้นนับว่า พืชเกิดแต่เมล็ดทั้งนั้น เพราะงอกได้.
ในข้อนั้น พืชเป็นมูลกสิกรรมของพราหมณ์ แยกออกเป็นสอง คือ
ข้างล่างออกราก ข้างบนออกหน่อ ฉันใด ศรัทธาเป็นมูลกสิกรรมของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ข้างล่างมีศีลเป็นราก ข้างบนมีสมถะและวิปัสสนาเป็นหน่อ
ฉันนั้น. เหมือนอย่างว่า พืชนั้นรับรสปฐวีธาตุ อาโปธาตุด้วยราก ย่อมเติบโต
ขึ้นเพื่อรับความแก่สุกแห่งธัญญชาติด้วยก้าน ฉันใด ศรัทธานี้รับรสคือสมถะ
และวิปัสสนาด้วยรากคือศีล เติบโตขึ้นเพื่อรับความแก่กล้าแห่งธัญญชาติคือ
อริยผล ด้วยก้านคืออริยมรรค ฉันนั้น. อนึ่ง พืชนั้นตั้งอยู่ในพื้นด้นที่ดี
เจริญงอกงามไพบูลย์ด้วยราก หน่อ ใบ ก้านเง่าและใบอ่อน ให้เกิดน้ำนม
ให้สำเร็จเป็นรวงข้าวสาลี เต็มไปด้วยเมล็ดข้าวสาลีเป็นอันมาก ฉันใด ศรัทธานี้
ก็ฉันนั้น ตั้งมั่นอยู่ในจิตสันดาน เจริญงอกงามไพบูลด้วยวิสุทธิ ๖ ให้เกิด
น้ำนมคือญาณทัสสนวิสุทธิ ให้สำเร็จเป็นพระอรหัตผล อันเพียบไปด้วย
ปฏิสัมภิทาญาณเป็นอเนก. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สทฺธา พีชํ ดังนี้
หากจะมีคำถามว่า ก็เมื่อกุศลธรรมกว่า ๕๐ เกิดร่วมกัน เหตุไรจึง
ตรัสว่า สทฺธา พีชํ ดังนี้. แก้ว่า เพราะทำหน้าที่เหมือนพืช. เหมือนอย่างว่า
บรรดากุศลธรรมเหล่านั้น วิญญาณนั่นแลทำหน้าที่รู้เจ้า ฉันใด ศรัทธาก็ทำ
หน้าที่เหมือนพืช (ต้นเหตุ) ฉันนั้น. ก็ศรัทธานั้นเป็นมูลเหตุแห่งกุศลธรรม
ทั้งปวง. เหมือนอย่างที่กล่าวไว้ว่า บทว่า สทฺธาชาโต อุปสงฺกมิ ความว่า
ศรัทธาเมื่อเข้าไปหา ย่อมนั่งใกล้ ฯลฯ และแทงตลอดกุศลธรรมนั้นเห็น
ด้วยปัญญา.
ชื่อว่า ตโป เพราะเผาอกุศลธรรมและกาย. คำว่า ตโป นี้เป็นชื่อ
ของอินทริยสังวร ความเพียร ธุดงค์และทุกกรกิริยา. แต่ในที่นี้ประสงค์เอา
อินทริยสังวร. บทว่า วุฏฺฐิ ได้แก่ ฝนหลายอย่าง เป็นต้นว่า น้ำฝน
ลมเจือฝน. ในที่นี้ประสงค์เอาน้ำฝน. เหมือนอย่างว่า ข้าวกล้าของพราหมณ์
มีพืชเป็นมูล มีน้ำฝนช่วยอย่างดี ย่อมงอกไม่เหี่ยวแห้ง ย่อมผลิตผล ฉันใด
ธรรมทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ฉันนั้น มีศรัทธาเป็นมูล
มีอินทริยสังวรช่วยอนุเคราะห์ ย่อมงอกงามไม่เหี่ยวแห้ง ย่อมผลิตผล เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตโป วุฏฺฐิ ดังนี้.
เม ศัพท์ที่ท่านกล่าวไว้ในคำว่า ปญฺา เม นี้ พึงประกอบแม้ใน.
บทต้น ๆ ว่า สทฺธา เม พีชํ ตโป เม วุฏฺฐิ. ด้วยคำนั้น ท่านแสดงไว้
อย่างไร. ท่านแสดงไว้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ เมื่อนาที่ท่านหว่านไว้แล้ว
ถ้ามีฝน ข้อนั้นเป็นการดี ถ้าไม่มี ก็จำต้องให้น้ำก่อน ฉันใด เราใช้เชือก
คือใจผูกแอกและไถ ซึ่งมีงอนคือหิริให้ติดกัน เทียมโคคือความเพียร แทง
ด้วยประตักคือสติ เมื่อหว่านพืชคือศรัทธา ลงในนาคือจิตสันดานของตน
ชื่อว่า ฝนไม่มี เราก็ใช้ตบะคืออินทริยสังวรตลอดกาลเป็นนิจ เป็นน้ำฝนฉันนั้น.
บทว่า ปญฺา ได้แก่ ปัญญาหลายอย่าง ต่างโดยปัญญาฝ่ายกามาวจร
เป็นต้น. แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์มรรคปัญญา พร้อมด้วยวิปัสสนา. บทว่า
ยุคนงฺคลํ ได้แก่ แอกและไถ. เหมือนอย่างว่า พราหมณ์มีแอกและ
ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงมีปัญญา ๒ อย่าง ฉันนั้น. ใน ๒ อย่างนั้น
แอกย่อมเป็นที่อาศัยของงอนไถ ข้างหน้าติดด้วยงอนไถ เป็นที่อาศัยฉันนั้น.
ช่วยให้โคงานเดินไปพร้อมกัน ฉันใด ปัญญาก็ฉันนั้น ย่อมเป็นที่อาศัยแห่ง
ธรรมทั้งหลาย อันมีหิริเป็นประธาน ฉันนั้น. อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า กุศลธรรม
ทั้งหมดยิ่งด้วยปัญญา และว่าผู้ฉลาดทั้งหลายกล่าวว่า ปัญญาประเสริฐที่สุด
ดุจบรรดาดวงดาวทั้งหลาย พระจันทร์ประเสริฐสุด ฉะนั้น ชื่อว่า อยู่ข้างหน้า
เพราะอรรถว่า เป็นหัวหน้าแห่งกุศลธรรม. อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ศีลก็ดี
สิริก็ดี และธรรมของสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมติดตามคือคล้อยตามผู้มีปัญญา.
แต่ปัญญาย่อมเนื่องด้วยหิริดุจงอนไถ เพราะไม่เกิดขึ้น โดยปราศจากหิริ
ย่อมเป็นที่อาศัยของเชือกทั้งหลาย โดยเป็นนิสัยปัจจัยของเชือกคือสมาธิ
กล่าวคือใจ ย่อมช่วยให้โคงานคือวิริยะ เดินไปพร้อมกัน เพราะห้ามการ
ปรารภเพียรเกินไปและความย่อหย่อนเกินไป. ไถประกอบด้วยผาล ย่อมทำลาย
ความทึบของแผ่นดินในการไถ ทำลายความสืบต่อแห่งมูลดิน ฉันใด ปัญญา
อันประกอบด้วยสติก็ฉันนั้น ย่อมทำลายความทึบแห่งธรรมทั้งหลายซึ่งมีกิจคือ
การประชุมแห่งสันตติเป็นอารมณ์ ในเวลาเจริญวิปัสสนา ย่อมทำลายความ
สืบต่อแห่งมูลแห่งกิเลสทั้งปวง. และปัญญานั้นแลเป็นโลกุตระอย่างเดียว.
ส่วนปัญญานอกนี้ พึงเป็นแต่โลกิยะ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า ปญฺา เม ยุคนงฺคลํ.
ชื่อว่า หิริ เพราะละอายแต่ธรรมอันลามก. ด้วยการถือเอาหิรินั้น
แม้โอตตัปปะที่ไม่ประกอบด้วยหิรินั้น ก็เป็นอันท่านถือเอาแล้วด้วยหิริศัพท์นั้น.
บทว่า อีสา ได้แก่ท่อนแห่งต้นไม้สำหรับทรงตัวแอกและไถ. เหมือนอย่าง
งอนไถของพราหมณ์ย่อมทรงไว้ซึ่งแอกและไถฉันใด แม้หิริของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าก็ฉันนั้น ย่อมทรงไว้ซึ่งแอกและไถกล่าวคือโลกิยปัญญาและโลกุตร-
ปัญญา. ชื่อว่า ไม่มีหิริก็เพราะไม่มีปัญญา. เหมือนอย่างว่า แอกและไถ
ที่เนื่องด้วยงอนไถ กระทำหน้าที่ไม่ไหว ไม่หย่อน ฉันใด ปัญญาแม้
เนื่องด้วยหิริก็ฉันนั้น กระทำหน้าที่ไม่ไหว ไม่หย่อน ไม่ระคนด้วยความ
ไม่มีหิริ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า หิริ อีสา ดังนี้ . ชื่อว่า มนะ
เพราะอรรถว่ารู้. คำว่า มนะ นี้ เป็นชื่อของจิต. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์
เอาสมาธิที่ประกอบด้วยมนะนั้นโดยยกมนะขึ้นเป็นประธาน. บทว่า โยตฺตํ
ได้แก่เครื่องผูกคือเชือก. เชือกนั้นมี ๓ อย่าง คือเป็นเครื่องผูกแอกกับงอนไถ ๑
เป็นเครื่องผูกโคงานกับแอก ๑ เป็นเครื่องล่ามโคงานต่อกันกับนายสารถี ๑.
ใน ๓ อย่างนั้น เชือกของพราหมณ์ ย่อมทำงอนไถแอกและโคงานให้ปฏิบัติ
ในกิจของตน ฉันใด สมาธิของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้น ผูกธรรมคือ
หิริปัญญาและวิริยะเหล่านั้นทั้งหมดไว้ในอารมณ์เดียวกัน โดยสภาวะคือ
ไม่ซัดส่าย ให้ปฏิบัติในหน้าที่ของตน. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า มโน โนตฺตํ
ดังนี้.
ชื่อว่า สติ เพราะอรรถว่า ระลึกถึงความมีกิจที่ทำไว้นานเป็นต้นได้.
ชื่อว่า ผาละ เพราะอรรถว่า ผ่า. ชื่อว่า ปาชนะ เพราะอรรถว่า เป็น
เครื่องขับไป. ในที่นี้ท่านกล่าวว่า ปาจนะ. บทว่า ปาจนะ นั้นเป็นชื่อ
ของประตัก. ผาลและประตักชื่อว่า ผาลปาจนะ. สติที่ประกอบด้วยวิปัสสนา
และประกอบด้วยมรรคของพระผู้มีพระภาคเจ้า เปรียบเหมือนผาลและประตัก
ของพราหมณ์. พึงทราบวินิจฉัยในข้อนั้นดังต่อไปนี้ สติค้นหาคติของกุศลธรรม
ทั้งหลาย หรือทำให้ปรากฏในอารมณ์ ย่อมรักษาไถคือปัญญา เหมือนผาล
รักษาไถ และไปข้างหน้าไถนั้น. ด้วยเหตุนั้นแหละ สตินั้นท่านจึงกล่าวว่า
อารกฺโข เครื่องรักษา ดุจในประโยคมีอาทิว่า สตารกฺเขน เจตสา วิหรติ
มีใจมีสติเป็นเครื่องรักษาอยู่ ดังนี้. ก็ปัญญานั้นมีสติอยู่ข้างหน้า ทำได้
ไม่หลงลืม ด้วยว่าปัญญาย่อมรู้ชัดด้วยธรรมที่สติอบรมแล้ว มิใช่ด้วยความ
หลงลืม. เหมือนอย่างว่า ประตักแสดงภัย คือการแทงโคงานทั้งหลาย ไม่ให้
เกียจคร้าน ป้องกันเดินนอกทาง ฉันใด สติก็ฉันนั้น แสดงภัยคืออบายแก่
โคงานคือวิริยะ ไม่ให้เกียจคร้าน ป้องกันอโคจรกล่าวคือกามคุณ แล้วประกอบ
ไว้ในกัมมัฏฐาน ป้องกันเดินออกนอกทาง. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สติ เม ผาลปาจนํ ดังนี้ .
บทว่า กายคุตฺโต ได้แก่คุ้มครองด้วยกายสุจริต ๓ อย่าง. บทว่า
วจีคุตฺโต ได้แก่คุ้มครองด้วยวจีสุจริต ๔ อย่าง. ก็ด้วยคำมีประมาณเท่านี้
เป็นอันท่านกล่าวปาติโมกขสังวรศีลแล้ว. ในข้อว่า อาหาเร อุทเร ยโต
นี้ มีความว่า สำรวมในปัจจัยทั้ง ๔ อย่าง เพราะท่านสงเคราะห์ปัจจัยทุกอย่าง
ด้วยมุขคืออาหาร อธิบายว่า สำรวมแล้ว คือปราศจากอุปกิเลส. ด้วยคำนี้
เป็นอันท่านกล่าวอาชีวปาริสุทธิศีลแล้ว. บทว่า อุทเร ยโต ได้แก่สำรวม
ในท้อง คือสำรวม คือบริโภคพอประมาณ. ท่านอธิบายไว้ว่า รู้จักประมาณ
ในอาหาร. ด้วยมุขคือความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภคนี้ เป็นอัน
ท่านกล่าวการเสพเฉพาะปัจจัยสันนิสสิตศีลแล้ว. ถามว่า ด้วยข้อนั้น ท่าน
แสดงความอย่างไร. ตอบว่า ท่านแสดงความว่า พราหมณ์ ท่านหว่านพืช
แล้ว ล้อมด้วยรั้วหนามรั้วต้นไม้หรือกำแพง เพื่อรักษาข้าวกล้า ฝูงโคกระบือ
และเนื้อทั้งหลายเข้าไปไม่ได้ แย่งข้าวกล้าไม่ได้ เพราะการล้อมนั้น ฉันใด
เราตถาคตก็ฉันนั้น หว่านพืช คือ ศรัทธาเป็นอันมากแล้ว ล้อมรั้ว ๓ ชั้น
ได้แก่ควบคุมกาย ควบคุมวาจา และควบคุมอาหาร เพื่อรักษากุศลธรรม
นานาประการ ฝูงโคกระบือและเนื้อกล่าวคืออกุศลธรรมมีราคะเป็นต้น เข้าไป
ไม่ได้ แย่งข้าวกล้าคือกุศลนานาประการของเราไปไม่ได้เพราะการล้อมรั้วนั้น.
การพูดไม่ผิดด้วยอาการ ๒ อย่าง ชื่อว่า สัจจะ ในคำว่า สจฺจํ
กโรมิ นิทฺทานํ นี้. บทว่า นิทฺทานํ ได้แก่ ตัด เกี่ยว ถอน. แลคำนี้
พึงทราบว่าเป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ. ก็ในคำนี้มีเนื้อความ
ดังนี้ว่า เราดายหญ้า (คือวาจาสับปรับ ) ด้วยคำสัตย์. คำนี้มีอธิบายว่า
ท่านทำการไถภายนอก ใช้มือหรือมีดดายหญ้าที่ทำข้าวกล้าให้เสีย ฉันใด
แม้เราก็ฉันนั้น ไถในภายในแล้ว ใช้สัจจะดายหญ้าคือการกล่าวคลาดเคลื่อน
ที่ประทุษร้าย ข้าวกล้าคือกุศล. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบสัจจะในคำว่า สจฺจํ
กโรมิ นิทฺทานํ นี้ หมายเอายถาภูตญาณ. ท่านแสดงว่า เราทำการ
ดายหญ้ามีอัตตสัญญาเป็นต้นด้วยถาภูตญาณนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า นิทฺทานํ
ความว่า ตัด เกี่ยว ถอนขึ้น. ท่านแสดงว่า ท่านใช้ทาสหรือกรรมกรให้ดาย
คือตัดเกี่ยวถอนหญ้าทั้งหลาย ด้วยคำว่า จงดายหญ้าทั้งหลาย ฉันใด เราก็
ฉันนั้นใช้สัจจะดายหญ้า. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สจฺจํ ได้แก่ ทิฏฐิสัจจะ
ความว่า เราทำการดายหญ้านั้น คือ ตัดสิ่งที่ควรตัด เกี่ยวสิ่งที่ควรเกี่ยว
ถอนสิ่งที่ควรถอน. ในวิกัปทั้ง ๒ เหล่านี้ ควรประกอบเนื้อความด้วยทุติยา-
วิภัตติเท่านั้น.
ในคำว่า โสรจฺจํ เม ปโมจนํ นี้ ศีลคือการไม่ล่วงละเมิดทางกาย
การไม่ล่วงละเมิดทางวาจานั่นแหละ ท่านกล่าวว่า โสรัจจะ ข้อนั้นท่านไม่
ประสงค์. ก็คำว่า โสรจฺจํ นั้น ท่านกล่าวไว้ด้วยคำว่า กายคุตฺโต เป็นต้น
เท่านั้น. แต่ท่านประสงค์เอาอรหัตผล. ก็พระอรหัตผลนั้น ท่านเรียกว่า
โสรัจจะ เพราะความยินดีในพระนิพพานอันดี. บทว่า ปโมจนํ ได้แก่
สละโยคกิเลสเครื่องประกอบ. คำนี้มีอธิบายว่า การปลดเปลื้องของท่าน
ย่อมไม่เป็นการปลดเปลื้องเลย เพราะต้องประกอบในเวลาเย็น ในวันที่สอง
หรือในปีหน้าแม้อีก ฉันใด การปลดเปลื้องของเราหาเป็นฉันนั้นไม่. ขึ้นชื่อว่า
การปลดเปลื้องในระหว่างของเราหามีไม่. เพราะเราเทียมโคงานคือความเพียร
ที่ไถ คือปัญญา จำเดิมแต่ครั้งพระทศพลพระนามว่าทีปังกร ไถเป็นการใหญ่
สิ้นสี่อสงขัยแสนกัป ก็ยังไม่พ้น ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ.
ก็เมื่อใดเราใช้เวลาทั้งหมดนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์ ณ โคนโพธิพฤกษ์.
พระอรหัตผลที่มีคุณทั้งปวงเป็นบริวารก็เกิดขึ้น เมื่อนั้น เราปล่อยวาง
พระอรหัตผลนั้นด้วยการระงับความขวนขวายทุกอย่าง บัดนี้จักไม่ประกอบ
ต่อไป ทรงหมายเนื้อความดังว่ามานี้ จึงตรัสว่า โสรจฺจํ เม ปโมจนํ.
บทว่า วิริยํ ในคำว่า วิริยํ เม ธุรโธรยฺหํ นี้ ได้แก่ การปรารภ
ความเพียรทางกายและทางจิต. บทว่า ธุรโธรยฺหํ ความว่า นำไปในธุระ
อธิบายว่า นำธุระไป. เหมือนอย่างว่า ไถที่พราหมณ์ชักไปและดึงไปในธุระ
ย่อมทำลายแผ่นของดินและการสืบต่อแห่งมูลดิน ฉันใด ไถคือปัญญาที่พระผู้
มีพระภาคเจ้าชักมาด้วยความเพียร ก็ฉันนั้น ย่อมทำลายแผ่นกิเลสตามที่กล่าว
แล้ว และทำลายการสืบต่อแห่งกิเลส. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วิริยํ เม
ธุรโธรยฺหํ. อีกอย่างหนึ่ง. สภาวะที่นำธุระเบื้องต้นไป ชื่อว่า ธุระ สภาวะที่นำ
ธุระเดิมไป ชื่อว่า โธรัยหา ธุระและโธรัยหะ ชื่อว่า ธุรโธรัยหะ ธุรโธ-
รัยหะ อันต่างด้วยโคงาน ๔ ตัว ในไถแต่ละไถของพราหมณ์ เมื่อนำไปทำ
หน้าที่กำจัดรากหญ้าที่เกิดขึ้น ๆ และทำความสมบูรณ์แห่งข้าวกล้าให้สำเร็จฉัน
ใด ธุรโธรัยหะ อันต่างด้วยความเพียรคือสัมมัปปธาน ๔ ของพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าก็ฉันนั้น เมื่อนำมาย่อมทำหน้าที่กำจัดอกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ เเละทำ
ความสมบูรณ์แห่งกุศลให้สำเร็จ. เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า วิริยํ เม ธุรโธรยฺหํ
ดังนี้.
ในคำว่า โยคกฺเขมาธิวาหนํ นี้มีวินิจฉัยว่า พระนิพพาน ชื่อว่า
โยคักเขมะ เพราะเป็นแดนเกษมจากโยคะทั้งหลาย. พระนิพพานนั้น ชื่อว่า
อธิวาหนะ เพราะนำไปเจาะจงหรือว่านำไปเฉพาะหน้า การนำไปเฉพาะหน้า
ซึ่งธรรมอันเกษมจากโยคะ. ชื่อว่า โยคักเขมาธิวาหนะ. ท่านกล่าวคำ
อธิบายไว้ดังนี้ว่า ธุรโธรัยหะของท่านที่นำมุ่งไปทิศใดทิศหนึ่งมีปุรัตถิมทิศเป็น
ต้น ฉันใด ธุรโธรัยหะของเรา ย่อมนำมุ่งตรงต่อพระนิพพานก็ฉันนั้น.
ธุรโธรัยหะที่เรานำไปอย่างนี้ ชื่อว่าไปไม่หวนกลับ คือ ไปจำเดิมแต่เวลาที่
พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ไม่หวนกลับเหมือนธุรโรรัยหะ (ของท่าน) นำ
ไถไปถึงที่สุดนา ยังกลับมาอีก. อีกอย่างหนึ่ง เพราะกิเลสที่เราละได้ด้วยมรรค
นั้น ๆ ไม่จำต้องละร่ำไป เหมือนหญ้าที่ตัดด้วยไถของท่าน จำต้องตัดในเวลา
ต่อมาอีก ฉะนั้น ธุรโธรัยหะละไม้คือกิเลสที่เห็นแล้วด้วยปฐมมรรค ละกิเลส
หยาบ ๆ ด้วยทุติยมรรค ละกิเลสที่เป็นอนุสัยด้วยตติยมรรค ละกิเลสทุกอย่าง
ด้วยจตุตถมรรค ไปไม่หวนกลับด้วยอาการอย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า คจฺฉติ
อนิวตฺตํ ความว่า เป็นธรรมชาติเว้นการไม่กลับไปเลย. บทว่า ตํ โยคธุร-
โรธรยฺหํ ในคำว่า ธุรโธรยฺหํ นี้ พึงทราบความอย่างนี้ ก็ธุรโธรัยหะของ
เราเมื่อไปโดยประการที่ธุรโธรัยหะของท่านไม่ไปยังที่นั้น แต่ธุรโธรัยหะของ
เรานั้น ย่อมไปสู่ที่ชาวนาไปแล้ว ไม่เศร้าโศกปราศจากธุลี ไม่เสียใจ. บทว่า
ยตฺถ คนฺตฺวา น โสจติ ความว่า ชาวนาเช่นเราเตือนการนำธุระไปด้วย
ความเพียรนั้นด้วยประตัก คือ สติไปในที่ใด ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี ไม่
เสียใจ ถึงที่นั้นทั้งหมด กล่าวคืออมตนิพพานอันเป็นที่ถอนลูกศรคือความโศก
บัดนี้ เมื่อจะทรงย้ำคำลงท้ายจึงตรัสคาถาว่า เอวเมสา กสี ดังนี้
เป็นต้น. ข้อนั้นมีเนื้อความสังเขปดังต่อไปนี้ จงเห็นเถิดท่านพราหมณ์ พืช
คือศรัทธานี้ น้ำฝนคือตบะช่วยเหลือแม้การไถ เราใช้เชือกคือใจผูกแอกและ
ไถคือปัญญาและงอนไถคือหิริไว้ด้วยกัน ใช้ไถคือปัญญาตอกผาลคือสติ ยึด
ประตักคือสติคุ้มครองด้วยการควบคุมกายวาจาและอาหาร ใช้สัจจะเป็นเครื่อง
ดายหญ้า นำธุรโธรัยหะคือความเพียรซึ่งให้เกิดโสรัจจะมุ่งตรงพระนิพพานอัน
เป็นแดนเกษมจากโยคะไม่ถอยกลับ ไถแล้วการไถให้ถึงสามัญญผล ๔ อย่าง
ซึ่งเป็นที่สุดแห่งการงาน ดังนี้. บทว่า สา โหติ อมตปฺผลา ความว่า
การไถนี้นั้นย่อมมีผลเป็นอมตะ. พระนิพพานท่านเรียกว่าอมตะ. อธิบายว่า
การไถนั้นมีพระนิพพานเป็นอานิสงส์. การไถนี้นั้นจะมีผลเป็นอมตะเฉพาะเรา
ผู้เดียวเท่านั้นก็หามิได้ ใคร ๆ จะเป็นกษัตริย์พราหมณ์แพศย์สูทรก็ตาม
คฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม ไถอย่างนี้ ครั้นไถอย่างนี้แล้ว เขาทั้งหมด ย่อม
พ้นทุกข์ทั้งปวงโดยแท้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทศนาแก่พราหมณ์ ยกพระนิพพานแสดงเป็น
เรื่องสุดท้าย จบลงด้วยอดคือพระอรหัต ด้วยประการฉะนี้. ต่อแต่นั้น
พราหมณ์ฟังพระธรรมเทศนาซึ่งมีเนื้อความลึกซึ้งแล้ว ทราบว่าคนบริโภคผล
แห่งการไถนาของเรา ย่อมจะหิวในวันรุ่งขึ้นเป็นแน่ แต่คนบริโภคผลแห่งการ
ไถที่เป็นอมตะนี้ ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง ดังนี้ มีความเลื่อมใส เมื่อจะแสดงทำ
อาการเลื่อมใส จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ภุญฺชตุ ภวํ โคตโม ดังนี้. คำทั้ง
หมดและคำนอกจากนั้น เราอธิบายเนื้อความไว้แล้วทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถากสิสูตรที่ ๑