15-174 พระพรหมเทพ



พระไตรปิฎก


๓. พรหมเทวสูตร
ว่าด้วยพระพรหมเทพ
[๕๖๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ-
บิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี สมัยนั้น บุตรของนางพราหมณีคนหนึ่ง ชื่อพรหมเทพ
ออกบวชในสำนักของพระผู้มีพระภาค
ครั้งนั้น ท่านพระพรหมเทพหลีกออกไปอยู่คนเดียว ไม่ประมาท มีความเพียร
อุทิศกายและใจอยู่ ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ยอดเยี่ยมอันเป็นที่สุดแห่ง
พรหมจรรย์ A ที่เหล่ากุลบุตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน รู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว B
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป” ก็แลท่าน
พระพรหมเทพเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย
[๕๖๔] ครั้นเวลาเช้า ท่านพระพรหมเทพครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเข้าไป
บิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตในกรุงสาวัตถีตามลำดับตรอกแล้วเข้าไป
ยังที่อยู่แห่งมารดาของตน สมัยนั้น นางพราหมณีมารดาของท่านพระพรหมเทพ
ถือการบูชาด้วยก้อนข้าวแก่พรหมเป็นนิตย์ ครั้งนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมดำริว่า
“นางพราหมณีผู้มารดาของท่านพระพรหมเทพนี้ ถือการบูชาด้วยก้อนข้าวแก่พรหม
เป็นนิตย์ ทางที่ดีเราพึงเข้าไปหานางแล้วทำให้สลดใจ”
[๕๖๕] ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมยืนอยู่ในอากาศ
ได้กล่าวกับนางพราหมณีมารดาของท่านพระพรหมเทพ
ด้วยคาถาทั้งหลายว่า
นางพราหมณี ท่านถือการบูชา
ด้วยก้อนข้าว แก่พรหมใดเป็นนิตย์
พรหมโลกของพรหมนั้นอยู่ไกลจากที่นี้
นางพราหมณี อาหารของพรหมไม่ใช่เช่นนี้
ท่านไม่รู้จักทางของพรหม ทำไมจึงบ่นถึงพรหม
นางพราหมณี ก็ท่านพระพรหมเทพของท่านนั้น
เป็นผู้ไร้อุปธิ C ถึงความเป็นอติเทพ
ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล เห็นภัยเนือง ๆ ไม่เลี้ยงดูผู้อื่น
ท่านพระพรหมเทพผู้เข้าสู่เรือนของท่านเพื่อบิณฑบาต
เป็นผู้สมควรแก่ก้อนข้าวที่บุคคลพึงนำมาบูชา
ผู้ถึงฝั่งแห่งเวท อบรมตนแล้ว
ควรแก่ทักษิณาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ลอยบาปแล้ว ไม่ถูกตัณหาและทิฏฐิฉาบทา
เป็นคนเยือกเย็น กำลังเที่ยวแสวงหาอาหารอยู่
อดีตและอนาคตไม่มีแก่ท่านพระพรหมเทพนั้น
ท่านพระพรหมเทพเป็นผู้สงบระงับ ปราศจากควัน
ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง วางอาชญาแล้ว
ในปุถุชนผู้ยังมีความหวาดหวั่นและในพระขีณาสพผู้มั่นคง
ขอท่านพระพรหมเทพนั้นจงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศ
สำหรับบูชาพรหมของท่าน
ท่านพระพรหมเทพซึ่งเป็นผู้ปราศจากเสนามาร
มีจิตสงบระงับ ฝึกตนแล้ว
เที่ยวไปเหมือนช้างประเสริฐ ไม่หวั่นไหว
เป็นภิกษุมีศีลดี มีจิตพ้นวิเศษแล้ว
ขอท่านพระพรหมเทพนั้น จงบริโภคบิณฑบาตอันเลิศ
สำหรับบูชาพรหมของท่าน
ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทพนั้น
เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ตั้งทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักขิไณยบุคคล D
นางพราหมณี ท่านเห็นมุนีผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว
จงทำบุญอันจะนำความสุขมาให้สืบ ๆ ไป
ท่านจงเป็นผู้เลื่อมใสในท่านพระพรหมเทพนั้น
เป็นผู้ไม่หวั่นไหว ตั้งทักษิณาไว้ในท่านผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
นางพราหมณี ท่านเห็นมุนีผู้ข้ามโอฆะได้แล้ว
จงทำบุญอันจะนำความสุขมาให้สืบ ๆ ไป
พรหมเทวสูตรที่ ๓ จบ
เชิงอรรถ
A ที่สุดแห่งพรหมจรรย์ หมายถึงจุดสุดท้ายของการประพฤติธรรม ในที่นี้หมายเอาพระอรหัตตผลอันเป็น
จุดสูงสุดของมรรคพรหมจรรย์ (ที.สี.อ. ๔๐๔/๓๐๐)
B อยู่จบพรหมจรรย์ หมายถึงกิจแห่งการปฏิบัติเพื่อทำลายอาสวกิเลสจบสิ้นบริบูรณ์แล้ว ไม่มีกิจที่จะต้อง
ทำเพื่อตนเอง แต่ยังมีหน้าที่เพื่อผู้อื่นอยู่ ผู้บรรลุถึงขั้นนี้ได้ชื่อว่า อเสขบุคคล (ที.สี.อ. ๒๔๘/๒๐๓)
C เป็นผู้ไร้อุปธิ หมายถึงเว้นจากอุปธิคือกิเลส อภิสังขารและกามคุณ (สํ.ส.อ. ๑/๑๗๔/๑๙๖)
D ทักขิไณยบุคคล หมายถึงบุคคลผู้ควรแก่ทักษิณา อีกนัยหนึ่ง หมายถึงผู้ทำทักษิณาที่เขานำมาถวายให้มี
ผลมาก (วิสุทธิ. ๑/๑๕๖/๒๔๐)

บาลี



พฺรหฺมเทวสุตฺต
[๕๖๓] เอวมฺเม สุต เอก สมย ภควา สาวตฺถิย วิหรติ
เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ฯ เตน โข ปน สมเยน
อฺตริสฺสา พฺราหฺมณิยา พฺรหฺมเทโว นาม ปุตฺโต ภควโต
สนฺติเก [๓]- อนคาริย ปพฺพชิโต โหติ ฯ อถ โข อายสฺมา
พฺรหฺมเทโว เอโก วูปกฏฺโ อปฺปมตฺโต อาตาปี ปหิตตฺโต วิหรนฺโต
นจิรสฺเสว ยสฺสตฺถาย กุลปุตฺตา สมฺมเทว อคารสฺมา อนคาริย
ปพฺพชนฺติ ตทนุตฺตร พฺรหฺมจริยปริโยสาน ทิฏฺเว ธมฺเม สย
อภิฺา สจฺฉิกตฺวา อุปสมฺปชฺช วิหาสิ ขีณา ชาติ วุสิต
พฺรหฺมจริย กต กรณีย นาปร อิตฺถตฺตายาติ อพฺภฺาสิ ฯ
อฺตโร จ ปนายสฺมา พฺรหฺมเทโว อรหต อโหสิ ฯ
[๕๖๔] อถ โข อายสฺมา พฺรหฺมเทโว ปุพฺพณฺหสมย นิวาเสตฺวา
ปตฺตจีวรมาทาย สาวตฺถิย ๑ ปิณฺฑาย ปาวิสิ สาวตฺถิย สปทาน
ปิณฺฑาย จรมาโน เยน สกมาตุ นิเวสน เตนุปสงฺกมิ ฯ เตน โข
ปน สมเยน อายสฺมโต พฺรหฺมเทวสฺส มาตา พฺราหฺมณี พฺรหฺมุโน
อาหุตึ นิจฺจ ปคฺคณฺหาติ ฯ อถ โข พฺรหฺมุโน สหมฺปติสฺส เอตทโหสิ
อย โข อายสฺมโต พฺรหฺมเทวสฺส มาตา พฺราหฺมณี พฺรหฺมุโน อาหุตึ
นิจฺจ ปคฺคณฺหาติ ยนฺนูนาห ต อุปสงฺกมิตฺวา สเวเชยฺยนฺติ ฯ
[๕๖๕] อถ โข พฺรหฺมา สหมฺปติ เสยฺยถาปิ นาม พลวา
ปุริโส สมฺมิฺชิต วา พาห ปสาเรยฺย ปสาริต วา พาห สมฺมิฺเชยฺย
เอวเมว พฺรหฺมโลเก อนฺตรหิโต อายสฺมโต พฺรหฺมเทวสฺส มาตุ
นิเวสเน ปาตุรโหสิ ฯ อถ โข พฺรหฺมา สหมฺปติ เวหาสณฺิโต
อายสฺมโต พฺรหฺมเทวสฺส มาตร พฺราหฺมณึ คาถาหิ อชฺฌภาสิ
ทูเร อิโต พฺราหฺมณิ พฺรหฺมโลโก
ยสฺสาหุตึ ปคฺคณฺหาสิ นิจฺจ
เนตาทิโส พฺราหฺมณิ พฺรหฺมภกฺโข
กึ ชปฺปสิ พฺรหฺมปถ อชาน ๒
เอโส หิ เต พฺราหฺมณิ พฺรหฺมเทโว
นิรูปธิโก อติเทวปตฺโต
อกิฺจโน ภิกฺขุ อนฺโปสิ
โย เต โส ปิณฺฑาย ฆร ปวิฏฺโ
อาหุนิโย เวทคู ภาวิตตฺโต
นราน เทวาน จ ทกฺขิเณยฺโย
พาหิตฺวา ปาปานิ อนูปลิตฺโต
ฆาเสสน อิริยติ สีติภูโต
น ตสฺส ปจฺฉา น ปุรตฺถมตฺถิ
สนฺโต วิธูโม อนิโฆ นิราโส
นิกฺขิตฺตทณฺโฑ ตสถาวเรสุ
โส ตฺยาหุตึ ภุฺชตุ อคฺคปิณฺฑ
วิเสนิภูโต อุปสนฺตจิตฺโต
นาโคว ทนฺโต จรติ อเนโช
ภิกฺขุ สุสีโล สุวิมุตฺตจิตฺโต
โส ตฺยาหุตึ ภุฺชตุ อคฺคปิณฺฑ
ตสฺมึ ปสนฺนา อวิกมฺปมานา
ปติฏฺเปหิ ทกฺขิณ ทกฺขิเณยฺเย
กโรหิ ปุฺ สุขมายติก
ทิสฺวา มุนึ พฺราหฺมณิ โอฆติณฺณ ๓
ตสฺมึ ปสนฺนา อวิกมฺปมานา
ปติฏฺเปหิ ๔ ทกฺขิณ ทกฺขิเณยฺเย
อกาสิ ปุฺ สุขมายติก
ทิสฺวา มุนึ พฺราหฺมณิ โอฆติณฺณนฺติ ฯ

******************

๑ โป. ม. สาวตฺถึ ฯ ๒ ยุ. อชานนฺติ ฯ
๓ ม. ยุ. โอฆติณฺณนฺติ ฯ ๔ ม. ยุ. ปติฏฺเปสิ ฯ

อรรถกถา


อรรถกถาพรหมเทวสูตร
ในพรหมเทวสูตรที่ ๓ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า เอโก ความว่า เป็นผู้ผู้เดียว คืออยู่คนเดียวในอิริยาบถทั้งหลาย
มียืนเป็นต้น. บทว่า วูปกฏฺโฐ ได้แก่ปลีกตัวไป คือปราศจากการคลุกคลีด้วย
กาย. บทว่า อปฺปมตฺโต ได้แก่ อยู่ในความเป็นผู้ไม่ปราศจากสติ. บทว่า
อาตาปี ได้แก่ ประกอบด้วยความเพียรเครื่องเผากิเลส. บทว่า ปหิตตฺโต
ได้แก่ มีตนส่งไปแล้ว. บทว่า กุลปุตฺตา ได้แก่ กุลบุตรผู้มีมารยาท. บทว่า
สมฺมเทว ความว่า ไม่ใช่บวชเพราะเป็นหนี ไม่ใช่บวชเพราะมีภัย ไม่ใช่บวช
เลี้ยงชีพ. แม้ผู้ที่บวชไม่ว่าด้วยกรีใด ๆ บำเพ็ญปฏิปทาที่สมควร ก็ชื่อว่า
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบทั้งนั้น. บทว่า พฺรหฺมจริยปริโยสานํ
ได้แก่อริยผลอันเป็นที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ได้แก่
ในอัตภาพนี้เอง. บทว่า สยํ อภิญฺา สจฺฉิกตฺวา ได้แก่ รู้ด้วยตนเอง
คือทำให้ประจักษ์. บทว่า อุปสมฺปชฺช ได้แก่ได้เฉพาะคือสำเร็จผลอยู่แล้ว.
ก็ท่านพระพรหมเทวะอยู่ด้วยประการฉะนี้ ได้รู้ชัดแล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าจึงทรงแสดงปัจจเวกขณภูมิของท่าน ด้วยบทนี้.
ถามว่า ก็ชาติไหนของท่านพรหมเทวะนั้นสิ้นแล้ว และท่านพรหมเทวะ
รู้ชัด ข้อนั้นได้อย่างไร. ตอบว่า ชาติส่วนอดีตของท่านพรหมเทวะนั้น ชื่อว่า
สิ้นแล้วไม่ได้ก่อน เพราะสิ้นไปในกาลก่อนเสียแล้ว ชาติส่วนอนาคต ชื่อว่า
สิ้นแล้ว ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีความพยายามในชาตินั้น ชาติส่วนปัจจุบันก็ชื่อว่า
สิ้นแล้วไม่ได้เพราะยังมีอยู่. แต่ชาติใดโดยเป็นขันธ์เดียว ขันธ์ ๔ และ
ขันธ์ ๕ ในบรรดาเอกโวการภพ จตุโวการภพและปัญจโวการภพ พึงเกิดขึ้น
เพราะยังมิได้อบรมมรรค ชาตินั้นชื่อว่าสิ้นแล้ว เพราะถึงความไม่เกิดขึ้นเป็น
ธรรมดา เพราะอบรมมรรคแล้ว. ท่านพรหมเทวะนั้นพิจารณากิเลสที่ละได้
ด้วยมรรคภาวนา ย่อมรู้ชาตินั้นว่า กรรมแม้มีอยู่ก็ไม่เป็นเหตุให้ปฏิสนธิต่อไป
เพราะไม่มีกิเลส.
บทว่า วุสิตํ ความว่า อยู่แล้ว อยู่รอบแล้ว อธิบายว่า กระทำแล้ว
ประพฤติแล้ว คือให้สำเร็จแล้ว. บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่มรรคพรหมจรรย์.
บทว่า กตํ กรณียํ ความว่า กิจแม้ ๑๖ อย่าง คือ ปริญญากิจ ปหานกิจ
สัจฉิกิริยากิจและภาวนากิจ ด้วยมรรคทั้ง ๔ ในสัจจะ ๔ [๔ x ๔ = ๑๖] ทำ
สำเร็จแล้ว. บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่า บัดนี้ มรรคภาวนา
เพื่อความเป็นอย่างนี้ คือเพื่อความเป็นกิจ ๑๖ อย่างอย่างนี้ หรือเพื่อความ
สิ้นกิเลส ไม่มีอีก. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิตฺถตฺตาย ได้แก่จากความเป็น
อย่างนี้ คือจากประการอย่างนี้ ท่านพรหมเทวะได้ทราบว่า ขันธสันดาน
อื่นจากธสันดานที่เป็นไปอยู่ในบัดนี้ไม่มี แต่เบญจขันธ์เหล่านี้ ท่านกำหนด
รู้แล้ว ยังตั้งอยู่ได้เหมือนต้นไม้มีรากขาดแล้ว. บทว่า อญฺตโร แปลว่า
องค์หนึ่ง. บทว่า อรหตํ ความว่า ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดา
พระอรหันต์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า สปทานํ ได้แก่ เที่ยวไปตามลำดับตรอก คือเที่ยวไปตาม
ลำดับไม่เลยเรือนที่ถึงแล้ว. บทว่า อุปสงฺกมิ ได้แก่เข้าไปอยู่. ก็มารดาของ
เขาพอเห็นบุตรก็ออกจากเรือนพาเข้าไปภายในที่อยู่ ให้นั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้.
บทว่า อาหุตึ นิจฺจํ ปคฺคณฺหาติ ความว่า รับของบูชาคือบิณฑะ
ก้อนข้าวในกาลเป็นนิจ. ก็ในวันนั้นมีพลีกรรมเพื่อภูตในเรือนนั้น. ทุกเรือนทา
สีเขียวมีข้าวตอกเกลื่อนกลาด. แวดล้อมด้วยทรัพย์และดอกไม้ ยกธงชัยธงปฏาก
ขึ้นตั้งหม้อน้ำมีน้ำเต็มไว้ในที่นั้น ๆ จุดประทีปสว่าง ประดับด้วยผงของหอม
และดอกไม้เป็นต้น. ได้มีแว่นเวียนเทียนถือส่งต่อกันไปโดยรอบ. นางพราหมณี
แม้นั้นลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ อาบน้ำหอม ๑๖ หม้อ ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ
พร้อมสรรพ. สมัยนั้น นางให้พระมหาขีณาสพนั่งแล้ว มิได้ถวายแม้เพียง
ข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง คิดว่า เราจักให้มหาขี่พรหมบริโภค บรรจุข้าวปายาสเต็ม
ถาดทอง ปรุงด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดเป็นต้น ที่หลังบ้านมีพื้นที่ที่
ประดับด้วยของทาสีเขียวเป็นต้น นางถือถาดนั้นไปที่นั้น วางก้อนข้าวปายาส
ตรงที่ ๔ มุมและตรงกลางแห่งละก้อน ถือไปก้อนหนึ่ง มีเนยใสไหลลงถึงข้อศอก
คุกเข่าบนแผ่นดิน กล่าวเชิญพรหมให้บริโภคว่า ขอท่านมหาพรหมจงบริโภค
ขอท่านมหาพรหมจงนำไป ขอมหาพรหมจงอิ่มหนำ ดังนี้.
บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความคิดนี้ได้มีแก่ท้าวสหัมบดีพรหม
ผู้สูดกลิ่นศีลของพระมหาขีณาสพ ซึ่งท่วมเทวโลกฟุ้งไปถึงพรหมโลก. บทว่า
สํเวเชยฺยํ ได้แก่พึงตักเตือน คือพึงให้ประกอบในสัมมาปฏิบัติ. อธิบายว่า
จริงอยู่ นางพราหมณีนั้น ให้พระมหาขีณาสพผู้เป็นอัครทักขิไณยบุคคลเห็น
ปานนี้ นั่งแล้ว มิได้ถวายอาหารแม้เพียงข้าวยาคูกระบวยหนึ่ง คิดว่า เราจักให้
มหาพรหมบริโภค ดุจทิ้งตาชั่งเสียแล้วใช้มือชั่ง ดุจทิ้งกลองเสียแล้วประโคม
ท้อง ดุจทิ้งไฟเสียแล้วเป่าหิ่งห้อย เที่ยวทำพลีแก่ภูต เราจักไปทำลายมิจฉา-
ทิฏฐิของนาง ยกนางขึ้นจากทางแห่งอบาย จะกระทำโดยวิธีให้นางหว่านทรัพย์
๘๐ โกฏิ ลงในพระพุทธศาสนาแล้วขึ้นสู่ทางสวรรค์.
บทว่า ทูเร อิโต ความว่า ไกลจากที่นี้. จริงอยู่ ก้อนศิลาขนาดเท่า
เรือนยอดตกจากพรหมโลก วันหนึ่งคืนหนึ่งสิ้นระยะทาง ๔๘,๐๐๐ โยชน์ ใช้
เวลาถึง ๔ เดือนโดยทำนองนี้ จึงตกถึงแผ่นดิน พรหมโลกขึ้น ที่ต่ำกว่าเขาหมด
อยู่ไกลอย่างนี้. บทว่า ยสฺสาหุตึ ความว่า โลกของพรหมที่นางพราหมณี
บูชาด้วยก่อนข้าว อยู่ไกล. ในบทว่า พฺรหฺมปถํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้
ท้าวมหาพรหมกล่าวว่า ชื่อว่า ทางของพรหม ได้แก่กุศลฌาน ๔ ส่วน
วิบากฌาน ๔ ชื่อว่า เป็นทางชีวิตของพรหมเหล่านั้น เธอไม่รู้ทางของพรหม
นั้น กระซิบอยู่ทำไม เพ้ออยู่ทำไม จริงอยู่ พรหมทั้งหลาย ย่อมยังอัตภาพให้
เป็นไปด้วยฌานที่มีปีติ หาได้ใส่ข้าวสารแห่งข้าวสาลี และเคี้ยวกินน้ำนมที่เคี่ยว
แล้วไม่ ท่านอย่าลำบากเพราะสิ่งที่ไม่ใช่เหตุเลย ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึง
ประคองอัญชลี แล้วย่อตัวเข้าไปชี้พระเถระอีกกล่าวว่า ดูก่อนนางพราหมณี
ก็ท่านพระพรหมเทวะของท่านนี้ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
นิรูปธิโก ความว่า เว้นจากอุปธิ คือกิเลสอภิสังขารและกามคุณ. บทว่า
อติเทวปตฺโต ความว่า ถึงความเป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ถึงความเป็นพรหมยิ่ง
กว่าพรหม. บทว่า อนญฺโปสี ความว่า ชื่อว่าไม่เลี้ยงผู้อื่น เพราะไม่
เลี้ยงอัตภาพของผู้อื่นหรือบุตรและภรรยา นอกจากอัตภาพนี้.
บทว่า อาหุเนยฺโย ความว่า ควรเพื่อจะรับบิณฑะที่เขาบูชา ปิณฑะ
ที่เขาค้อนรับ . บทว่า เวทคู ได้แก่ถึงที่สุดทุกข์ด้วยเวทคือมรรค ๔. บทว่า
ภาวิตฺตฺโต ได้แก่อบรมตนให้เจริญทั้งอยู่. บทว่า อนูปลิตฺโต ได้แก่อัน
เครื่องฉาบคือตัณหาและทิฐิไม่ฉาบแล้ว. บทว่า ฆาเสสนํ อิริยติ ได้แก่
เที่ยวแสวงหาอาหาร.
บทว่า น ตสฺส ปจฺฉา น ปุรตฺถมตฺถิ ความว่า ภายหลัง
เรียกว่าอดีต ภายหน้า เรียกว่าอนาคต. ท่านกล่าวไว้ว่า ภายหลังหรือภายหน้า
ย่อมไม่มีแก่ผู้เว้นจากฉันทราคะในขันธ์ส่วนอดีตและขันธ์ส่วนอนาคต ด้วย
ประการฉะนี้. ในบทว่า สนฺโต เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า สนฺโต
เพราะสงบกิเลสมีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า วิธูมะ เพราะปราศจากควันคือความ
โกรธ. ชื่อว่า อนีฆะ เพราะไม่มีทุกข์. แม้ถือไม้เท้าเป็นต้นเที่ยวไป ก็ชื่อว่า
วางไม้แล้ว เพราะไม่มีเจตนาจะฆ่า. ในคำว่า ตสถาวเรสุ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้
ปุถุชนทั้งหลายชื่อว่าผู้สะดุ้ง พระขีณาสพทั้งหลายชื่อว่าผู้มั่นคง. พระเสขบุคคล
๗ จำพวก ไม่อาจจะเรียกว่า ผู้สะดุ้งได้ ท่านเหล่านั้นมิใช่ผู้มั่นคง แต่เมื่อ
จะแบ่งพวก ก็แบ่งเป็นพวกมั่นคงนั่นแหละ. บทว่า โส ตฺยาหุตึ ตัดบท
เป็น โส ตว อาหุตึ.
บทว่า วิเสนิภูโค ความว่า เป็นผู้ปราศจากกองทัพโดยกองทัพคือ
กิเลส. บทว่า อเนโช ได้แก่ปราศจากตัณหา. บทว่า สุสีโล ได้แก่เป็น
ผู้มีศีลดี โดยศีลของพระขีณาสพ. บทว่า สุวิมุตฺตจิตโต ความว่า มีจิต
หลุดพ้นแล้วด้วยดี โดยผลวิมุตติ.
บทว่า โอฆติณฺณํ ได้แก่ข้ามโอฆะ ๔ เสียได้ ด้วยกถามรรคเพียง
เท่านี้ พรหมสรรเสริญคุณของพระเถระ ประกอบนางพราหมณีไว้ในสัมมาทิฏฐิ.
ก็อวสานคาถา [คาถาสุดท้าย] พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายตั้งไว้แล้ว บทว่า
ปติฏฺเปสิ ทกฺขิณํ ความว่า ดังทักษิณาคือปัจจัย ๔. บทว่า สุขมายติกํ
ความว่า มีสุขในอนาคต คือมีสุขเป็นผลในอนาคต อธิบายว่า นำสุขมาให้.
จบอรรถกถาพรหมเทวสูตรที่ ๓

สนทนาธรรม

comments

Got anything to say? Go ahead and leave a comment!