27-042 นกพิราบเตือนกา
พระไตรปิฎก
๒. กโปตกชาดก
ว่าด้วยนกพิราบเตือนกา
(นกพิราบโพธิสัตว์เห็นกาประสบความพินาศ จึงกล่าวว่า)
{๔๒} [๔๒] ผู้ใดอันบุคคลผู้หวังความเจริญ
อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล
กล่าวสอนอยู่ ก็ไม่ทำตามคำสั่งสอน
ผู้นั้นย่อมเศร้าโศกอยู่ร่ำไป
เหมือนกาไม่ทำตามคำของนกพิราบตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู
กโปตกชาดกที่ ๒ จบ
บาลี
รออัพเดต
อรรถกถา
อรรถกถากโปตกชาดกที่ ๒
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ปรารภภิกษุผู้มีนิสัยโลเลรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้น โย อตฺถกามสฺส ดังนี้.
เรื่องความโลเลของภิกษุนั้น จักแสดงอย่างพิสดารในกาก
ชาดก นวกนิบาต. ก็ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลาย นำภิกษุนั้นมา
กราบทูลพระศาสดาว่า พระเจ้าข้า ภิกษุนี้ มีนิสัยโลเล. ลำดับ
นั้น พระบรมศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า จริงหรือภิกษุ ที่เขาว่า
เธอมีนิสัยโลเล. ภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า. พระศาสดา
จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุแม้ในครั้งก่อน เธอก็เป็นคนโลเล สิ้นชีวิต
เพราะความโลเลของตน แม้บัณฑิตผู้อาศัยเธอ ก็ต้องพลัดพราก
จากที่อยู่ไปด้วย แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นนกพิราบ. ใน
ครั้งนั้น ชาวเมืองพาราณสี พากันแขวนกระเช้าหญ้า ไว้ในที่
นั้น ๆ เพื่อให้ฝูงนกอาศัยอยู่อย่างสบาย เพราะความเป็นผู้ใคร่บุญ
ใคร่กุศล. ในครั้งนั้น แม้พ่อครัวของท่านเศรษฐีกรุงพาราณสี
ก็แขวนกระเช้าหญ้าไว้ภายในโรงครัวกระเช้าหนึ่งเหมือนกัน.
นกพิราบผู้โพธิสัตว์ ได้เข้าอยู่ในกระเช้านั้น. รุ่งเช้าก็บินออก
เที่ยวหากิน ต่อเย็นจึงบินกลับมาหลับนอนในโรงครัวนั้นเป็นดังนี้
ตลอดกาล. อยู่มาวันหนึ่ง กาตัวหนึ่งบินข้ามโรงครัวไป สูดกลิ่น
ตลบอบอวนของรสเปรี้ยว รสเดิมและปลาเนื้อ ก็เกิดความโลภขึ้น
คิดว่า จักอาศัยใครหนอ จึงจักได้ปลาและเนื้อนี้ คิดแล้วก็จับอยู่
ณ ที่ไม่ไกล คอยสอดส่ายหาลู่ทาง พอเย็นก็เห็นนกพระโพธิสัตว์
บินมา แล้วเข้าไปสู่โรงครัว ก็เลยได้คิดว่า ต้องอาศัยนกพิราบนี้
ถึงจักได้กินเนื้อ ครั้นรุ่งขึ้นก็บินมาแต่เช้า ในเวลาที่พระโพธิสัตว์
บินออกไปหากิน ก็บินตามไปข้างหลัง ๆ. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์
จึงกล่าวกะกาว่า สหาย เหตุไรท่านจึงเที่ยวบินตามเรา. กาตอบ
ว่า นาย ข้าพเจ้าชอบใจกิริยาของท่าน ตั้งแต่บัดนี้ไป ข้าพเจ้า
ขอปรนนิบัติท่าน. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พวกท่านมีอาหารอย่าง
หนึ่ง พวกเรามีอาหารอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน การปรนนิบัติ
ของพวกท่าน ท่านกระทำได้ยาก กาตอบว่า ” นาย เวลาท่านบิน
ไปหากิน ข้าพเจ้าก็บินไปหากิน บินไปกับท่าน ” พระโพธิสัตว์
กล่าว ดีแล้ว ขอท่านพึงเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างเดียว. พระโพธิสัตว์
กล่าวสอนกาอย่างนี้แล้ว ก็เที่ยวแสวงหาอาหาร กินอาหารมีพืช
พรรณติณชาติ เป็นต้น ก็ในเวลาที่พระโพธิสัตว์กำลังหากิน กา
ก็บินไปพบกองขี้วัวจึงคุ้ย แล้วจิกกินตัวหนอน พอเต็มกระเพาะ
ก็มาสู่สำนักพระโพธิสัตว์ พลางกล่าวว่า “นาย ท่านเที่ยวเกิน
เวลา การทำตนให้ได้นามว่า เป็นผู้ตะกละตะกลามหาควรไม่”
ดังนี้แล้วเข้าไปสู่โรงครัว พร้อมกับพระโพธิสัตว์ ผู้หาอาหาร
กินแล้วก็บินมาในเวลาเย็น. พ่อครัวกล่าวว่า นกพิราบของเรา
พาตัวอื่นมา ดังนี้แล้วก็แขวนกระเช้าให้กาบ้าง ตั้งแต่นั้นก็อยู่
ด้วยกัน เป็นสองตัว.
อยู่มาวันหนึ่ง คนทั้งหลายนำปลาและเนื้อ มาให้ท่าน
เศรษฐีเป็นจำนวนมาก. พ่อครัวก็รับมาแขวนไว้ในโรงครัว
กาเห็นแล้ว ก็เกิดความโลภ คิดในใจว่า พรุ่งนี้เราไม่หากินละ
จะกินปลาและเนื้อนี้แหละ แล้วก็นอนแซ่วอยู่ตลอดทั้งคืน. รุ่งเช้า
พระโพธิสัตว์จะไปหากิน ก็เรียกว่า มาเถิดกาผู้เป็นสหาย. กา
ตอบว่า “นาย ท่านไปเถิด ข้าพเจ้ากำลังปวดท้อง” พระโพธิสัตว์
กล่าวว่า สหายเอ๋ย ธรรมดาโรคปวดท้องไม่เคยเป็นแก่พวกกา
เลย แต่ไหนแต่ไรมา ในยามทั้ง ๓ ตลอดราตรี กาย่อมหิวทุก ๆ
ยาม ถึงจะกลืนกินไส้ประทีปเข้าไป กาก็จะอิ่มอยู่ชั่วครู่หนึ่ง
ชะรอยท่านจักอยากกินปลาและเนื้อนี้ มาเถิดขึ้นชื่อว่าของกิน
ของมนุษย์เป็นของที่พวกท่านไม่ควรกิน อย่าทำเช่นนี้เลย ไปหา
กินด้วยกันกับเราเถิด. กาตอบว่า นาย ข้าพเจ้าไม่สามารถจะ
ไปได้. พระโพธิสัตว์จึงเตือนว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจักต้องรับสนอง
กรรมของตน ท่านอย่าลุอำนาจความโลภ จงเป็นผู้ไม่ประมาท
เถิด ดังนี้แล้วก็บินไปหากิน. พ่อครัวก็ปรุงอาหารต่าง ๆ ชนิด
ด้วยปลาและเนื้อ มีประการต่าง ๆ เสร็จแล้วก็เปิดภาชนะไว้
หน่อยหนึ่ง เพื่อให้ไอระเหยไปให้หมด วางกระชอนไว้บนภาชนะ
อีกทีหนึ่ง แล้วก็ออกไปข้างนอก ยืนเช็ดเหงื่ออยู่. ขณะนั้นกาก็
โผล่ศีรษะขึ้นมาจากกระเช้า มองดูโรงครัวทั่วไป รู้ว่าพ่อครัว
ออกไปข้างนอก จึงคิดว่า บัดนี้ความปรารถนาของเรา สม
ประสงค์แล้ว เราอยากจะกินเนื้อ จะกินเนื้อชิ้นใหญ่ หรือเนื้อ
ชิ้นเล็กดีหนอ. ครั้นแล้วก็เล็งเห็นว่า ธรรมดาเนื้อชิ้นเล็ก ๆ เรา
ไม่อาจกินให้เต็มกระเพาะได้รวดเร็ว เราจะต้องคว้าก้อนใหญ่ ๆ
มาทิ้งไว้ในกระเช้า นอนขยอกจึงจะดี. แล้วก็โผออกจากกระเช้า
ลงไปแอบอยู่ใกล้กระชอน. เสียงกระชอนดังกริ๊ก ๆ. พ่อครัวฟัง
เสียงนั้นแล้วนึกว่า นั่นเสียงอะไรหนอ ? กลับเข้าไปดู เห็นกา
แล้วก็ดำริว่า การะยำตัวนี้มุ่งจะกินเนื้อทอดของมหาเศรษฐี ก็
ตัวเราต้องอาศัยท่านเศรษฐีเลี้ยงชีวิต มิใช่อาศัยกาพาลตัวนี้ จะ
เอามันไว้ใย ? แล้วปิดประตู ต้อนจับกาได้ ถอนขนเสียหมดตัว
เอาขิงสดโขลกเคล้ากับเกลือป่น คลุกกับเนยเปรี้ยวทาจนทั่วตัว
กานั้น แล้วเหวี่ยงลงไปในกระเช้าของมัน. กาเจ็บแสบแสนสาหัส
นอนหายใจแขม่วอยู่. ครั้นเวลาเย็นพระโพธิสัตว์บินกลับมา เห็น
กาประสบความฉิบหาย จึงพูดว่า ดูก่อนเจ้ากาโลเล เจ้าไม่เชื่อฟัง
คำของเรา อาศัยความโลภของเจ้าเป็นเหตุ จึงต้องประสบทุกข์
อย่างใหญ่หลวง ดังนี้.แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า :-
บุคคลใด เมื่อท่านผู้หวังดีมีความเอ็นดู
จะเกื้อกูล กล่าวสอนอยู่ มิได้กระทำตามคำสอน
บุคคลนั้นจะต้องนอนระทมเหมือนกาไม่กระทำ
ตามถ้อยคำของนกพิราบ ตกไปในเงื้อมมือของ
อมิตร นอนหายใจระทวยอยู่ ฉะนั้น. ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กโปตกสฺส วจนํ อกตฺวา ความ
ว่า ไม่เชื่อฟังคำสอนที่มุ่งประโยชน์ของนกพิราบ.
บทว่า อมิตฺตหตฺถตถคโตว เสติ ความว่า บุคคลนั้นจึงถึง
ความวอดวายใหญ่หลวง นอนระทมอยู่ เหมือนกาตัวนี้ตกไปสู่
เงื้อมมือของอมิตร คือบุคคลผู้จะกระทำความฉิบหายให้ และก่อ
ให้เกิดทุกข์.
พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้แล้ว คิดว่า บัดนี้เราก็ไม่อาจ
อยู่ในที่นี้ได้ จึงบินไปอยู่ที่อื่น แม้กาก็สิ้นชีวิตอยู่ในกระเช้า
นั้นเอง พ่อครัว จึงเอามันไปทั้งกระเช้า ทิ้งเสียที่กองขยะ.
แม้พระบรมศาสดา ก็ตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุ มิใช่แต่ใน
บัดนี้เท่านั้น ที่เธอเป็นคนโลเล แม้ในปางก่อนก็เป็นผู้โลเลเหมือน
กัน ก็และถึงแม้บัณฑิตทั้งหลาย อาศัยความโลเลของเธอนั้น ก็
ต้องพลอยออกจากที่อยู่ของตนไปด้วย ครั้นทรงนำพระธรรม-
เทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจ. ในเวลาจบการประกาศ
อริยสัจ ภิกษุนั้น บรรลุอนาคามิผล. พระบรมศาสดา ทรงสืบ
อนุสนธิ ประชุมชาดกว่า กาในครั้งนั้น เป็นภิกษุผู้โลเลในครั้งนี้
นกพิราบในครั้งนั้น คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถากโปตกชาดกที่ ๒