27-025 การรังเกียจท่าน้ำ
พระไตรปิฎก
๕. ติตถชาดก
ว่าด้วยการรังเกียจท่าน้ำ
(อำมาตย์โพธิสัตว์กล่าวกับคนเลี้ยงม้าว่า)
{๒๕} [๒๕] นายสารถี ท่านจงให้ม้าดื่มน้ำที่ท่าอื่น ๆ บ้าง
แม้ข้าวปายาสที่รับประทานบ่อย ๆ คนก็ยังเบื่อได้
ติตถชาดกที่ ๕ จบ
บาลี
รออัพเดต
อรรถกถา
๕. อรรถกถาติตถชาดก
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้เคย
เป็นช่างทองรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกของพระธรรมเสนาบดี จึงตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อญฺมญฺเหิ ติฏฺเฐหิ ดังนี้.
ก็อาสยานุสยญาณย่อมมีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้น ย่อมไม่มีแก่
คนอื่น เพราะฉะนั้น พระธรรมเสนาบดีจึงไม่รู้อาสยะคืออัธยาศัย และอนุสัย
คือกิเลสอันเนื่องอยู่ในสันดานของสัทธิวิหาริก เพราะความที่คนไม่มีอาสยานุ
สยญาณ จึงบอกเฉพาะอสุภกรรมฐานเท่านั้น อสุภกรรมฐานนั้นไม่เป็นสัปปายะ
แก่สัทธิวิหาริกนั้น. เพราะเหตุไร เพราะได้ยินว่า สัทธิวิหาริกของพระธรรม
เสนาบดีนั้น ถือปฏิสนธิในเรือนของช่างทองเท่านั้น ถึง ๕๐๐ ชาติ เมื่อเป็น
เช่นนั้น อสุภกรรมฐานจึงไม่เป็นสัปปายะแก่สัทธิวิหาริกนั้น เพราะเป็นผู้เคย
ชินต่อการเห็นทองคำบริสุทธิ์เท่านั้น เป็นเวลานานี้ สัทธิวิหาริกนั้น ไม่อาจทำ
แม้มาตรว่านิมิตให้เกิดขึ้นในกรรมฐานนั้น ให้เวลาสิ้นไป ๔ เดือน. พระธรรม
เสนาบดีเมื่อไม่อาจให้พระอรหัตแก่สัทธิวิหาริกของตน จึงคิดว่า ภิกษุนี้
จักเป็นพุทธเวไนยแน่นอน เราจักนำไปยังสำนักของพระตถาคต จึงพาสัทธิ-
วิหาริกนั้น ไปยังสำนักของพระศาสดาด้วยตนเอง แต่เช้าตรู่. พระศาสดาตรัส
ถามว่า สารีบุตร เธอพาภิกษุรูปหนึ่งมาหรือหนอ. พระสารีบุตรกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ให้กรรมฐานแก่ภิกษุนี้ แก่ภิกษุนี้ไม่อาจ
ทำแม้มาตรว่านิมิตให้เกิดขึ้น โดยเวลา ๔ เดือน ข้าพระองค์นั้นคิดว่า ภิกษุ
นี้จักเป็นพุทธเวไนยผู้ที่พระพุทธเจ้าจะพึงทรงแนะนำ จึงได้พามายังสำนักของ
พระองค์ พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามว่า สารีบุตร เธอให้กรรมฐาน
ชนิดไหนแก่สัทธิวิหาริกของเธอ ? พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มี
พระภาคเจ้า ข้าพระองค์ให้อสุภกรรมฐาน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า
สารีบุตร เธอไม่มีญาณเครื่องรู้อัธยาศัยและอนุสัยของสัตว์ทั้งหลาย เธอไป
ก่อนเถิด เวลาเย็นเธอมา พึงพาสัทธิวิหาริกของเธอมาด้วย. พระศาสดา
ทรงส่งพระเถระไปอย่างนี้แล้ว ได้ให้ผ้านุ่งและจีวรอันน่าชอบใจแก่ภิกษุนั้น
แล้วทรงพาภิกษุนั้นเข้าไปบิณฑบาตยังบ้าน ให้ของเคี้ยวของฉันอันประณีต
แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่กลับ มายังพระวิหารอีก ทรงยังเวลาส่วนกลางวัน
ให้สิ้นไปในพระคันธกุฎี พอเวลาเย็น ทรงพาภิกษุนั้นเที่ยวจาริกไปในวิหาร
แล้วทรงนิรมิตสระโบกขรณีสระหนึ่งในอัมพวัน แล้วทรงนิรมิตกอปทุม
ใหญ่ในสระโบกขรณีนั้น และทรงนิรมิตดอกปทุมใหญ่ดอกหนึ่งในกอปทุม
แม้นั้น แล้วรับสั่งให้นั่งลงด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุ เธอจงนั่งแลดูดอกปทุม
นี้ แล้วเสด็จเข้าพระคันธกุฎี. ภิกษุนั้นแลดูดอกปทุมนั้นบ่อย ๆ. พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงให้ดอกปทุมนั้นเหี่ยว. ดอกปทุมนั้น เมื่อภิกษุนั้นแลดูอยู่
นั่นแหละได้เหี่ยวเปลี่ยนสีไป ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น กลีบของดอกปทุมนั้นก็
ร่วงไปตั้งแต่รอบนอก ได้ร่วงไปหมดโดยครู่เดียว. แต่นั้น เกสรก็ร่วงไป
เหลืออยู่แต่ผักบัว. ภิกษุนั้น เห็นอยู่ตั้งนั้นจึงคิดว่า ดอกปทุมนี้ได้งดงามน่าดู
อยู่เดียวนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น สีของมันก็แปรไป กลีบและเกสรร่วงไป ตั้งอยู่
แต่เพียงผักบัวเท่านั้น ความชราถึงแก่ดอกปทุมชื่อเห็นปานนี้ อย่างไรจักไม่
ถึงร่างกายของเรา สังขาร ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ จึงเริ่มเจริญวิปัสสนา พระ-
ศาสดาทรงทราบว่า จิตของภิกษุนั้น ขึ้นสู่วิปัสสนาแล้ว ประทับอยู่ในพระ
คันธุฎีนั่นแล ทรงเปล่งโอภาสแสงสว่างไป แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
เธอจงตัดความสิเนหาของตนเสีย เหมือนคน
ตัดดอกโกมุทอันเกิดในสารทกาล เธอจงพอกพูนทาง
แห่งความสงบ เพราะพระนิพพาน ตถาคตแสดงไว้
แล้ว.
ในเวลาจบคาถา ภิกษุนั้นบรรลุพระอรหัตแล้วคิดว่า เราเป็นผู้พ้น
แล้วหนอจากภพทั้งปวง จึงเปล่งอุทานด้วยคาถาทั้งหลายมีอาทิว่า
เรานั้น มีธรรมเครื่องอยู่อันอยู่จบแล้ว มีฉันทะ
ในใจบริบูรณ์แล้ว มีอาสวะสิ้นไปแล้ว ทรงไว้ซึ่ง
ร่างกายครั้งสุดท้าย มีศีลบริสุทธิ์ มีอินทรีย์ตั้งมั่น
ด้วยดี ที่สุดพ้นแล้ว เหมือนพระจันทร์พ้นจากปาก
ของราหูฉะนั้น เราบรรเทามลทินทั้งปวงอันกระทำ
ความมืด ซึ่งมืดมนอนธถารเพราะโมหะได้เด็ดขาด
เหมือนพระอาทิตย์มีรัศมีตั้งพัน ผู้สร้างแสงสว่าง ทำ
ความโซติช่วงด้วยแสงสว่างในท้องฟ้าฉะนั้น.
ก็แหละครั้นเปล่งอุทานแล้ว จึงมาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายพระเถระ
ก็มาถวายบังคมพระศาสดาแล้วได้พาสัทธิวิหาริกของตนไป. ข่าวนี้เกิดปรากฏ
ในระหว่างภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายนั่งพรรณนาพระคุณของพระทศพลอยู่
ในโรงธรรมสภาว่า อาวุโสทั้งหลาย พระสารีบุตรเถระไม่รู้อัธยาศัยของ
สัทธิวิหาริกของตน เพราะไม่มีอาสยานุสยญาณ แต่พระศาสดาทรงทราบ ได้
ประทานพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแก่ภิกษุนั้น โดยวันเดียวเท่านั้น โอ!
ชื่อว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงมีอานุภาพมาก พระศาสดาเสด็จมาแล้วประทับ
นั่งบนอาสนะที่ปูลาดแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนา
กันด้วยเรื่องอะไร ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พวกข้าพระองค์นั่งสนทนากันด้วยเรื่องอื่นหามิได้ แต่นั่งสนทนากันด้วยเรื่อง
พระญาณเครื่องรู้อัธยาศัย และอนุสัยแห่ง สัทธิวิหาริกของพระธรรม เสนาบดี
เฉพาะของพระองค์เท่านั้น. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ไม่
น่าอัศจรรย์ บัดนี้ เรานั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมรู้อัธยาศัยของภิกษุนั้น
แม้ในกาลก่อน เราก็รู้อัธยาศัยของภิกษุนั้นเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทาน
มา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์อนุศาสน์อรรถและธรรมกะพระราชาพระองค์นั้น. ใน
กาลนั้น พวกคนเลี้ยงม้าให้ม้ากระจอกขาเขยกอาบก่อนกว่าม้าอื่น ณ ท่าที่ม้า
มงคลของพระราชาอาบ. ม้ามงคลถูกให้ลงท่าที่ม้ากระจอกอาบ จึงเกลียดไม่
ปรารถนาจะลง คนเลี้ยงม้ามากราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ ม้า
มงคลไม่ปรารถนาจะลงท่าน้ำ พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสั่งพระโพธิสัตว์ไปว่า
ดูก่อนบัณฑิต ท่านจงไป จงรู้ว่า เพราะเหตุไร ม้าถูกเขาให้ลงท่าน้ำจึงไม่
ลง. พระโพธิสัตว์ทูลรับพระบัญชาแล้วไปยังฝั่งแม่น้ำ ตรวจดูม้าก็รู้ว่าม้าไม่มี
โรค จึงใคร่ครวญว่า เพราะเหตุไรหนอ ม้านี้จึงไม่ลงท่าน จึงคิดว่า ม้าอื่น
จักถูกอาบที่ท่านี้ก่อน ด้วยเหตุนั้น ม้านั้นเห็นจะรังเกียจจึงไม่ลงท่า แล้วถาม
พวกคนเลี้ยงม้าว่า ท่านผู้เจริญ ที่ท่านี้ท่านทั้งหลายให้ม้าอะไรอาบก่อน พวก
คนเลี้ยงม้ากล่าวว่า ข้าแต่นายให้ม้ากระจอกอาบก่อนกว่าม้าอื่น. พระโพธิสัตว์
รู้อัธยาศัยของม้านั้นว่า ม้านี้รังเกียจจึงไม่ปรารถนาจะอาบที่ท่านี้ เพราะตน
เป็นสัตว์มี (คุณ) สมบัติ การให้ม้านี้อาบในท่าอื่น จึงจะควร จึงกล่าวว่า
ท่านผู้เลี้ยงม้าผู้เจริญ แม้ข้าวปายาสที่ปรุงด้วยเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย
เมื่อบุคคลบริโภคบ่อย ๆ ก่อน ย่อมมีความเบื่อ ม้านี้อาบที่ท่านให้ลายครั้ง
เบื้องต้น พวกท่านจงให้ม้านั้น ลงยังท่าแม้อื่น แล้วให้อาบและดื่ม จึงกล่าวคาถา
นี้ว่า
ดูก่อนนายสารถี ท่านจงยังม้าให้อาบและดื่มที่
ท่าโน้นท่านี้บ้าง แม้ข้าวปายาสที่บริโภคบ่อยครั้ง คน
ย่อมอิ่มได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺมญฺเหิ แยกศัพท์ออกเป็น
อญฺเหิ อญฺเหิ แปลว่า อื่น ๆ. บทว่า ปาเยหิ (แปลว่าจงให้ดื่ม) นี้
เป็นหัวข้อเทศนา อธิบายว่า จงให้อาบและให้ดื่ม. บทว่า อจฺจาสนสฺส นี้
เป็นฉัฏฐีวิภัติใช้ในอรรถแห่งตติยาวิภัติ อธิบายว่า กินยิ่ง คือบริโภคยิ่ง.
บทว่า ปายาสสฺสปิ ตปฺปติ ความว่า ย่อมอิ่มคือเป็นผู้อิ่ม เป็นผู้ที่เขา
เลี้ยงดูอิ่มแล้ว แม้ด้วยข้าวมธุปายาสที่ปรุงด้วยเนยใสเป็นต้น ย่อมไม่ถึงความ
เป็นผู้ต้องการบริโภคอีก เพราะฉะนั้นม้าแม้นี้ก็จักถึงความพอ เพราะการอาบ
ประจำที่ท่านี้ ท่านจงให้อาบที่ท่าอื่นเถิด.
คนเลี้ยงม้าเหล่านั้น ได้ฟังคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว จึงให้ม้าลงท่า
อื่น ให้ดื่มและให้อาบ ในเวลาที่ม้าดื่มน้ำแล้วอาบ พระโพธิสัตว์ได้มายัง
สำนักของพระราชา. พระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อ ม้าอาบและดื่มแล้วหรือ
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ. พระราชาตรัสถามว่า
ทีแรก เพราะเหตุไร ม้าจึงไม่ปรารถนา? พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่
สมมติเทพ เพราะเหตุชื่อแม้นี้ แล้วกราบทูลเหตุทั้งปวง พระราชาตรัสว่า โอ!
ท่านบัณฑิตย่อมรู้อัธยาศัยชื่อแม้ของสัตว์ดิรัจฉานเห็นปานั้น แล้วประทาน
ยศใหญ่แก่พระโพธิสัตว์ ในเวลาสิ้นอายุ ได้เสด็จไปตามยถากรรมแล้ว ฝ่าย
พระโพธิสัตว์ก็ไปตามยถากรรมเหมือนกัน.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรารู้อัธยาศัยของภิกษุนี้ใน
บัดนี้ เท่านั้น หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็รู้เหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรม
เทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ม้านงคลในกาลนั้น.
ได้เป็นภิกษุรูปนี้ พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ ส่วน
อำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตในกาลนั้น ได้เป็นเราตถาคตแล.
จบติตถชาดกที่ ๕