16-018 ปริพาชกชื่อติมพรุขะ
พระไตรปิฎก
๘. ติมพรุกขสูตร
ว่าด้วยปริพาชกชื่อติมพรุกขะ
{๕๓} [๑๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ … เขตกรุงสาวัตถี
ครั้งนั้น ปริพาชกชื่อติมพรุกขะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้สนทนา
ปราศรัยพอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้ทูลถาม
พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
{๕๔} “ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเองหรือ”
“อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ”
“ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้หรือ”
“อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ”
“ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเองด้วย และเป็นสิ่งที่คนอื่น
กระทำให้ด้วยหรือ”
“อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ”
“ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่ตนกระทำเองก็มิใช่ และ
คนอื่นกระทำให้ก็มิใช่หรือ”
“อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ”
“ท่านพระโคดม สุขและทุกข์ไม่มีหรือ”
“ติมพรุกขะ สุขและทุกข์ไม่มีก็มิใช่ สุขและทุกข์มีอยู่”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้เห็นสุขและทุกข์หรือ”
“ติมพรุกขะ เราไม่รู้เห็นสุขและทุกข์ก็มิใช่ เรานี่แหละที่รู้เห็นสุขและทุกข์โดยแท้”
“เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเองหรือ’
ท่านตรัสว่า ‘อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้หรือ’
ท่านตรัสว่า ‘อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเองด้วย
และเป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้ด้วยหรือ’
ท่านตรัสว่า ‘อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ท่านพระโคดม สุขและทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุที่
ตนกระทำเองก็มิใช่ และคนอื่นกระทำให้ก็มิใช่หรือ’
ท่านตรัสว่า ‘อย่ากล่าวอย่างนั้น ติมพรุกขะ’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ท่านพระโคดม สุขและทุกข์ไม่มีหรือ’
ท่านตรัสว่า ‘ติมพรุกขะ สุขและทุกข์ไม่มีก็มิใช่ สุขและทุกข์มีอยู่’
เมื่อข้าพเจ้าทูลถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ท่านพระโคดม ย่อมไม่รู้เห็นสุขและทุกข์หรือ’
{๕๕} ท่านตรัสว่า ‘ติมพรุกขะ เราไม่รู้เห็นสุขและทุกข์ก็มิใช่ เรานี่แหละที่รู้เห็นสุข
และทุกข์โดยแท้’
ขอท่านพระโคดมโปรดตรัสบอกสุขและทุกข์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ขอท่านพระโคดม
โปรดแสดงสุขและทุกข์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด”
“เมื่อเบื้องต้นมีวาทะว่า ‘นั้นเวทนา ผู้นั้นเสวยเวทนา’ แต่เราไม่กล่าว
อย่างนี้ว่า ‘สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่ตนกระทำเอง’ เมื่อบุคคลถูกเวทนาเสียดแทงว่า
‘เวทนาเป็นอย่างหนึ่ง บุคคลผู้เสวยเวทนาก็อย่างหนึ่ง’ ทั้งเราไม่กล่าวอย่างนี้ว่า
‘สุขและทุกข์เป็นสิ่งที่คนอื่นกระทำให้’ ตถาคตไม่เข้าไปใกล้ที่สุด ๒ อย่างนี้ ย่อม
แสดงธรรมโดยสายกลางว่า ‘เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี เพราะ
สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วย
ประการฉะนี้
อนึ่ง เพราะอวิชชาดับไปไม่เหลือด้วยวิราคะ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ
วิญญาณจึงดับ ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ด้วยประการฉะนี้
{๕๖} เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ติมพรุกขปริพาชกได้กราบทูลว่า ‘ท่าน
พระโคดม พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ท่านพระโคดม พระภาษิต
ของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่าน
พระโคดมพร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำ
ข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต’
ติมพรุกขสูตรที่ ๘ จบ
บาลี
รออัพเดต
อรรถกถา
รออัพเดต