15-074 ฝน
พระไตรปิฎก
๔. วุฏฐิสูตร
ว่าด้วยฝน
[๒๐๔] เทวดาทูลถามว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น อะไรเล่าประเสริฐ
บรรดาสิ่งที่ตกลงไป อะไรเล่าประเสริฐ
บรรดาสัตว์ที่เดินได้ สัตว์ประเภทใดประเสริฐ
บรรดาชนผู้พูด ใครเป็นผู้ประเสริฐ
[๒๐๕] เทวดาองค์หนึ่งกล่าวแก้ว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น พืชประเสริฐ
บรรดาสิ่งที่ตกลงไป ฝนประเสริฐ
บรรดาสัตว์ที่เดินได้ โคเป็นสัตว์ประเสริฐ
บรรดาชนผู้พูด บุตรเป็นผู้ประเสริฐ
[๒๐๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น ความรู้ประเสริฐ
บรรดาสิ่งที่ตกลงไป ความไม่รู้ประเสริฐ
บรรดาสัตว์ที่เดินได้ พระสงฆ์เป็นผู้ประเสริฐ
บรรดาชนผู้พูด พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ
วุฏฐิสูตรที่ ๔ จบ
บาลี
วุฏฺิสุตฺต
[๒๐๔] กึสุ อุปฺปตต เสฏฺ กึสุ นิปตต วร
กึสุ ปวชมานาน กึสุ ปวทต วรนฺติ ฯ
[๒๐๕] พีช อุปฺปตต เสฏฺ วุฏฺิ นิปตต วรา
คาโว ปวชมานาน ปุตฺโต ปวทต วโรติ ฯ
[๒๐๖] วิชฺชา อุปฺปตต เสฏฺา อวิชฺชา นิปตต วรา
สงฺโฆ ปวชมานาน พุทฺโธ ปวทต วโรติ ฯ
อรรถกถา
อรรถกถาวุฏฐิสูตร
พึงทราบวินิจฉัยยในวุฎริสูตรที่ ๔ ต่อไป:-
บทว่า พีชํ ได้แก่ ธัญญพืช ๗ ชนิด ชื่อว่าประเสริฐกว่าพืชทั้งหลาย
ที่เกิดขึ้น เพราะว่า เมื่อธัญญพืชนั้นงอกขึ้นแล้ว ชนบทย่อมเป็นแดนเกษม
คือมีภิกษาหาได้โดยง่าย. บทว่า นิปตตํ ความว่า แม้บรรดาสิ่งที่ตกไป
ทั้งหลาย เมฆฝนประเสริฐเพราะเมื่อเมฆฝนมีอยู่ ข้าวกล้าทั้งหลาย ชนิดต่าง ๆ
ย่อมเกิดงอกขึ้น ชนบทย่อมเจริญเป็นแดนเกษม มีภิกษาหาได้โดยง่าย. บทว่า
ปวชฺชมานานํ ความว่า บรรดาสัตว์เดินด้วยลำแข้ง คือ ไปด้วยเท้าทั้งหลาย
โคประเสริฐ เพราะสัตว์ทั้งหลายได้อาศัยบริโภคเบญจโครสแล้ว ย่อมอยู่สบาย.
บทว่า ปวทตํ แปลว่า บรรดาผู้แถลงคารม อธิบายว่า บุคคลผู้พูดในที่
ทั้งหลายมีท่ามกลางแห่งราชสกุลเป็นต้น บุตรประเสริฐ เพราะบุตรนั้นย่อม
ไม่กล่าวร้ายให้มารดาบิดา.
ได้ยินว่า เทวดาองค์หนึ่งยืนอยู่ในที่ใกล้ฟังปัญหานั้นก่อนที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้า จะตรัสตอบว่า บรรดาสิ่งที่งอกขึ้นวิชาประเสริฐ ดังนี้ ได้กล่าว
แก้ปัญหาตามลัทธิของตนว่า ดูก่อนเทวดา เพราะเหตุไร ท่านจึงถามปัญหานี้
กะพระทศพล เราจักบอกแก่ท่านเอง ดังนี้.
ลำดับนั้น เทวดานอกนี้จึงกล่าวกะเทวดานั้นว่า ดูก่อนเทวดา ผู้กำจัด
ทุกอย่าง ผู้คนองปาก (ปากจัด ) ตลอดเรื่องเราจะถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้แล้ว เพราะเหตุไร ท่านจึงกล่าวแก่เรา ดังนี้ แล้วกลับไปทูลถาม
ปัญหานั้นกะพระทศพล.
ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงวิสัชนาปัญหานั้น จึงตรัสคำว่า
วิชฺชา อุปฺปตตํ เป็นอาทิ แปลว่า
บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น วิชชา (ความรู้)
เป็นประเสริฐ บรรดาสิ่งที่ตกไป อวิชชา
เป็นประเสริฐ บรรดาสิ่งที่เดินด้วยเท้า
พระสงฆ์เป็นประเสริฐ บรรดาชนผู้แถลง
คารม พระพุทธเจ้าเป็นประเสริฐ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิชฺชา ได้แก่วิชชาในมรรค ๔ เพราะ
ว่าวิชชานั้น เมื่อเกิดย่อมถอนขึ้นซึ่งอกุศลธรรมทั้งปวง ฉะนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าจึงตรัสว่า วิชฺชา อุปฺปตตํ เสฏฺา แปลว่า บรรดาสิ่งที่งอกขึ้น
วิชชาเป็นประเสริฐ. บทว่า อวิชฺชา ได้แก่ มหาอวิชชาอันมีวัฏฏะเป็นมูล
เพราะอวิชชาที่ตกไป นั่นเป็นสิ่งประเสริฐกว่าสิ่งที่ตกไป คือที่จมลงไป. บทว่า
ปวชฺชมานานํ ได้แก่ บรรดาสัตว์ผู้ไปด้วยเท้า คือผู้ไปด้วยลำแข้ง พระสงฆ์
ผู้เป็นนาบุญอันไม่ทรามเป็นผู้ประเสริฐ เพราะว่า สัตว์ทั้งหลายเห็นพระสงฆ์
นั้นในที่นั้น ๆ แล้ว ย่อมถึงความสวัสดี. บทว่า พุทฺโธ อธิบายว่า บุตร
หรือว่าบุคคลอื่น ๆ จงพักไว้ก่อน บรรดาชนเหล่าใดเหล่าหนึ่งผู้แถลงคารม
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ยอดเยี่ยม เพราะว่าเหล่าสัตว์ทั้งหลายจำนวนหลายแสนอาศัย
การแสดงธรรมของพระองค์แล้ว ก็หลุดพ้นจากเครื่องผูกได้ ดังนี้แล.
จบอรรถกถาวุฏฐิสูตรที่ ๔