15-038 สะเก็ดหิน
พระไตรปิฎก
๘. สกลิกสูตร
ว่าด้วยสะเก็ดหิน
[๑๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มัททกุจฉิ สถานที่พระราชทานอภัย
แก่หมู่เนื้อ เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้น สะเก็ดหินกระทบพระบาทของผู้มีพระภาค
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีทุกขเวทนาทางพระวรกายที่กล้าแข็งอย่างหนัก
เผ็ดร้อน อันไม่สบายพระทัย ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคมีพระสติสัมปชัญญะ
ทรงอดกลั้นทุกขเวทนานั้นไว้ได้ ไม่ทรงเดือดร้อน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิ ๔ ชั้น ทรงสำเร็จสีหไสยา
(การนอนดุจราชสีห์) โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาท
มีพระสติสัมปชัญญะ
[๑๒๓] ครั้นเมื่อราตรีผ่านไป พวกเทวดาสตุลลปกายิกาประมาณ ๗๐๐ องค์ มีวรรณะ
งดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วมัททกุจฉิ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร
[๑๒๔] เทวดาองค์หนึ่งยืนอยู่ ณ ที่สมควรแล้วได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มี-
พระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสมณโคดมเป็นบุรุษดุจนาค A จริง ก็แลพระ-
สมณโคดมมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางพระวรกายที่กล้าแข็ง
อย่างหนัก เผ็ดร้อน อันไม่สบายพระทัย ที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ เพราะความที่พระองค์
เป็นบุรุษดุจนาค ไม่ทรงเดือดร้อน”
[๑๒๕] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสมณโคดมเป็นบุรุษดุจราชสีห์จริง ก็แลพระสมณโคดม
มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางพระวรกายที่กล้าแข็งอย่างหนัก
เผ็ดร้อน อันไม่สบายพระทัย ที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ เพราะความที่พระองค์เป็นบุรุษ
ดุจราชสีห์ ไม่ทรงเดือดร้อน”
{๑๒๖} ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสมณโคดมเป็นบุรุษอาชาไนยจริง ก็แลพระสมณโคดม
มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางพระวรกายที่กล้าแข็งอย่างหนัก
เผ็ดร้อนอันไม่สบายพระทัย ที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ เพราะความที่พระองค์เป็นบุรุษ
อาชาไนยไม่ทรงเดือดร้อน”
[๑๒๗] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสมณโคดมเป็นบุรุษผู้องอาจจริง ก็แลพระสมณโคดมมี
พระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางพระวรกายที่กล้าแข็งอย่างหนัก เผ็ดร้อน
อันไม่สบายพระทัย ที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ เพราะความที่พระองค์เป็นบุรุษผู้องอาจ ไม่ทรง
เดือดร้อน”
[๑๒๘] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสมณโคดมเป็นบุรุษผู้ใฝ่ธุระจริง ก็แลพระสมณโคดม
มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางพระวรกายที่กล้าแข็งอย่างหนัก
เผ็ดร้อน อันไม่สบายพระทัย ที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ เพราะความที่พระองค์เป็นบุรุษผู้
ใฝ่ธุระ ไม่ทรงเดือดร้อน”
{๑๒๙} ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสมณโคดมเป็นบุรุษผู้ฝึกแล้วจริง ก็แลพระสมณโคดม
มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทางพระวรกายที่กล้าแข็งอย่างหนัก
เผ็ดร้อน อันไม่สบายพระทัย ที่เกิดขึ้นแล้วไว้ได้ เพราะความที่พระองค์เป็นบุรุษ
ผู้ฝึกแล้ว ไม่ทรงเดือดร้อน”
[๑๓๐] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
“ท่านจงดูสมาธิ B ที่พระสมณโคดมทรงเจริญดีแล้ว จงดูจิตที่พระสมณโคดมทรงให้
หลุดพ้นดีแล้ว C จิตที่เป็นไปตามราคะพระสมณโคดมก็ไม่ให้น้อมไปถึงแล้ว จิตที่
เป็นไปตามโทสะพระสมณโคดมก็ไม่ให้หวนกลับมาแล้ว และจิตของพระสมณโคดม
ไม่ต้องตั้งใจข่มและคอยห้ามปราม บุคคลใดพึงสำคัญพระสมณโคดมเป็นบุรุษดุจนาค
เป็นบุรุษดุจราชสีห์ เป็นบุรุษอาชาไนย เป็นบุรุษผู้องอาจ เป็นบุรุษผู้ใฝ่ธุระ และ
เป็นบุรุษผู้ฝึกแล้วเห็นปานนี้ว่า เป็นผู้ที่ตนจะล่วงเกินได้ บุคคลนั้นจะเป็นอะไรเล่า
นอกเสียจากผู้ไม่มีทัสสนะ D ”
(เทวดานั้นครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาทั้งหลายเหล่านี้ว่า)
พราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ทรงเวททั้ง ๕ E มีตบะ
ประพฤติธรรมอยู่อย่างสม่ำเสมอตั้ง ๑๐๐ ปี
แต่จิตของพราหมณ์เหล่านั้นก็ไม่หลุดพ้นโดยชอบ
เพราะพราหมณ์เหล่านั้นมีสภาพจิตต่ำ
จึงไม่ถึงจุดจบ F (แห่งความตาย)
พราหมณ์เหล่านั้นถูกตัณหาครอบงำแล้ว
เกี่ยวข้องด้วยศีลพรต ประพฤติตบะอันเศร้าหมองอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี
แต่จิตของพราหมณ์เหล่านั้นก็ไม่หลุดพ้นแล้วโดยชอบ
เพราะพราหมณ์เหล่านั้นมีสภาพจิตต่ำ จึงไม่ถึงจุดจบ
บุคคลผู้มีมานะ ย่อมไม่มีการฝึกตนเอง
บุคคลผู้มีจิตไม่มั่นคง ย่อมไม่มีความรู้
บุคคลผู้ประมาทอยู่ในป่าคนเดียว
ก็ไม่ถึงจุดจบแห่งความตาย
บุคคลละมานะได้แล้ว มีใจมั่นคงดี
มีใจดี หลุดพ้นในธรรมทั้งปวง
เขาไม่ประมาทอยู่ในป่าคนเดียว
ก็ถึงจุดจบแห่งความตายได้
สกลิกสูตรที่ ๘ จบ
เชิงอรรถ
A นาค ในที่นี้หมายถึงช้างมหานาค (สํ.ฏีกา ๑/๓๘/๑๒๓)
B สมาธิ ในที่นี้หมายถึงอรหัตตผลสมาธิ (สํ.ส.อ. ๑/๓๘/๗๘)
C ให้หลุดพ้นดีแล้ว หมายถึงให้หลุดพ้นด้วยดีด้วยผลวิมุตติ (สํ.ส.อ. ๑/๓๘/๗๘)
D ผู้ไม่มีทัสสนะ หมายถึงผู้ไม่มีความรู้ (สํ.ส.อ. ๑/๓๘/๗๘)
E เวททั้ง ๕ ได้แก่ พระเวท ๕ คือ (๑) อิรุเวทหรือฤคเวท (๒) ยชุรเวท (๓) สามเวท (๔) อาถรรพเวท
(๕) อิติหาสะ (สํ.ส.อ. ๑/๓๘/๗๘, สํ.ฏีกา ๑/๓๘/๑๒๓)
F จุดจบ ในที่นี้หมายถึงนิพพาน (สํ.ส.อ. ๑/๓๘/๗๘, สํ.ฏีกา ๑/๓๘/๑๒๓)
บาลี
สกลิกสุตฺต
[๑๒๒] เอวมฺเม สุต เอก สมย ภควา ราชคเห วิหรติ
มทฺทกุจฺฉิสฺมึ มิคทาเย ฯ เตน โข ปน สมเยน ภควโต ปาโท ๑
สกลิกาย ขโต ๒ โหติ ฯ ภูสา สุท ภควโต เวทนา วตฺตนฺติ
สารีริกา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา อสาตา อมนาปา ฯ ตา สุท
ภควา สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ อวิหฺมาโน ฯ อถ โข
ภควา จตุคฺคุณ สงฺฆาฏึ ปฺาเปตฺวา ทกฺขิเณน ปสฺเสน สีหเสยฺย
กปฺเปติ ปาเท ๓ ปาท อจฺจาธาย สโต สมฺปชาโน ฯ
[๑๒๓] อถ โข สตฺตสตา สตุลฺลปกายิกา เทวตาโย อภิกฺกนฺตาย
รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา เกวลกปฺป มทฺทกุจฺฉึ โอภาเสตฺวา เยน
ภควา เตนุปสงฺกมึสุ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺต อภิวาเทตฺวา เอกมนฺต
อฏฺสุ ฯ
[๑๒๔] เอกมนฺต ิตา โข เอกา เทวตา ภควโต สนฺติเก
อิม อุทาน อุทาเนสิ นาโค วต โภ สมโณ โคตโม นาควตา
จ ปนุปฺปนฺนา ๔ สารีริกา เวทนา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา อสาตา
อมนาปา สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ อวิหฺมาโนติ ฯ
[๑๒๕] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ สีโห วต โภ สมโณ โคตโม สีหวตา จ ปนุปฺปนฺนา ๕
สารีริกา เวทนา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา อสาตา อมนาปา
สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ อวิหฺมาโนติ ฯ
[๑๒๖] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ อาชานีโย วต โภ สมโณ โคตโม อาชานียวตา จ
ปนุปฺปนฺนา สารีริกา เวทนา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา อสาตา
อมนาปา สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ อวิหฺมาโนติ ฯ
[๑๒๗] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ นิสโภ วต โภ สมโณ โคตโม นิสภวตา จ ปนุปฺปนฺนา
สารีริกา เวทนา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา อสาตา อมนาปา
สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ อวิหฺมาโนติ ฯ
[๑๒๘] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ โธรโยฺห วต โภ สมโณ โคตโม โธรยฺหวตา จ
ปนุปฺปนฺนา สารีริกา เวทนา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา อสาตา
อมนาปา สโต สมฺปชาโน อธิวาเสติ อวิหฺมาโนติ ฯ
[๑๒๙] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ ทนฺโต วต โภ สมโณ โคตโม ทนฺตวตา จ ปนุปฺปนฺนา
สารีริกา เวทนา ทุกฺขา ติพฺพา ขรา กฏุกา อสาตา อมนาปา สโต
สมฺปชาโน อธิวาเสติ อวิหฺมาโนติ ฯ
[๑๓๐] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ ปสฺส สมาธึ สุภาวิต ๖ จิตฺตฺจ สุวิมุตฺต ๗ น จาภิณต ๘
น จาปณต ๙ น จ สสงฺขารนิคฺคยฺห จาริตวต ๑๐ โย เอวรูป ปุริสนาค
ปุริสสีห ปุริสอาชานีย ปุริสนิสภ ปุริสโธรยฺห ปุริสทนฺต อติกฺกมิตพฺพ
มฺเยฺย กิมฺตฺร อทสฺสนาติ ฯ
ปฺจเวทา สต สม ตปสฺสี พฺราหฺมณา จร
จิตฺตฺจ เนส น สมฺมา วิมุตฺต
หีนตฺตรูปา น ปารงฺคมา เตติ ๑๑ ฯ
ตณฺหาธิปนฺนา วตฺตสีลพทฺธา
ลูข ตป วสฺสสต จรนฺตา
จิตฺตฺจ เยส น สมฺมา วิมุตฺต
หีนตฺตรูปา น ปารงฺคมา เตติ ๑๒ ฯ
น มานกามสฺส ทโม อิธตฺถิ
น โมนมตฺถิ อสมาหิตสฺส
เอโก อรฺเ วิหรมฺปมตฺโต
น มจฺจุเธยฺยสฺส ตเรยฺย ปารนฺติ ฯ
มาน ปหาย สุสมาหิตตฺโต
สุเจตโส สพฺพธิ วิปฺปมุตฺโต
เอโก อรฺเ วิหร อปฺปมตฺโต
ส มจฺจุเธยฺยสฺส ตเรยฺย ปารนฺติ ฯ
******************
๑ สี. ปาเท ฯ ๒ สี. สกลิกาขโต ฯ ม. สกฺขลิกาย ฯ ๓ ปาเทนาติปิ ปาโ ฯ
๔-๕ ม. ยุ. สมุปฺปนฺนา ฯ
๖ สี. กตฺถจิ สีหฬโปตฺถเก สมาธีติ ปาโ น ทิสฺสติ ฯ ม. สุภาวิโต ฯ
๗ ยุ. วิมุตฺต ฯ ๘ สี. น วา ปหิณต ฯ ยุ. อ. อภิณต ฯ
๙ สี. อ. อุปณต ฯ ๑๐ ม. วาริตคต ฯ ๑๑-๑๒ ม. ยุ. อิติสทฺโท นตฺถิ ฯ
อรรถกถา
อรรถกถาสกลิสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสกิกสูตรที่ ๘ ต่อไป :-
บทว่า มัททกุจฉิ ได้แก่ สวนอันมีชื่ออย่างนี้. จริงอยู่ สวนนั้น
เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูบังเกิดในครรภ์แล้ว พระมารดาของพระเจ้าอชาตศัตรูนั้น
มีความประสงค์จะให้ครรภ์ตกไป ด้วยทรงดำริว่า ครรภ์อันอยู่ในท้องของเรานี้
จักเป็นศัตรูของพระราชา จะมีประโยชน์อะไรด้วยครรภ์นี้ ดังนี้ จึงให้ทำลาย
ครรภ์ในสวนนั้น เพราะเหตุนั้น สวนนั้น จึงชื่อว่า มัททกุจฉิ ดังนี้. ก็ป่า
ที่ท่านเรียกว่า มิคทาย เพราะความที่ป่านั้น อันพระราชาพระราชทาน เพื่อ
ความปลอดภัยแห่งเนื้อทั้งหลาย. ในบทว่า ก็โดยสมัยนั้นแล นี้เป็นอนุปุพพิกถา
คือ วาจาเป็นเครื่องกล่าวโดยลำดับ.
ก็พระเทวทัตอาศัยพระเจ้าอชาตศัตรูแล้ว แม้ส่งนายขมังธนูทั้งหลาย
และช้างธนปาลกะไปแล้ว ก็ไม่อาจเพื่อทำอันตรายชีวิตของพระตถาคตได้ จึง
คิดว่า เราจักยังพระตถาคตให้ตายด้วยมือของเราทีเดียว ดังนี้ ขึ้นสู่ภูเขาคิชฌ-
กูฎแล้วยกศิลาใหญ่ประมาณเรือนยอดขว้างไป ด้วยคิดว่า พระสมณโคดม จง
แหลกละเอียด ดังนี้. ได้ยินว่า พระเทวทัตนั้นมีกำลังมาก ย่อมทรงกำลังถึง
ช้างพลายห้าเชือก. ก็แล อันตรายแห่งชีวิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่จะพึงมี
ได้ด้วยความพยายามของบุคคลอื่น ข้อนั้นแลเป็นอฐานะ คือเป็นสิ่งที่เป็นไป
ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ศิลาอื่นจึงตั้งขึ้นในอากาศแล้วรับศิลาก้อนนั้นซึ่งมาอยู่
ตรงพระสรีระของพระตถาคต. สะเก็ดแผ่นหินอันใหญ่ตั้งขึ้นแล้ว เพราะศิลา
ทั้งสองกระทบกัน จึงกระเด็นไปถูกที่สุดแห่งหลังพระบาทของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า. พระบาทมีพระโลหิตห้อขึ้นราวกะถูกประหารด้วยขวานใหญ่ ราวกะ
ย้อมด้วยน้ำเหลวของครั่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูเบื้องบนแล้วได้ตรัสกะพระเทวทัตว่า ท่าน
ใด มีจิตประทุษร้ายแล้ว มีจิตฆ่าทำโลหิตของตถาคตให้ตั้งขึ้น (ให้ห้อ) ดู
ก่อนโมฆบุรุษ ท่านนั้นประกอบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมากดังนี้ ตั้งแต่นั้นมา
ความไม่ผาสุกได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พวกภิกษุคิดว่า วิหารนี้เป็นที่ดอน ไม่เรียบ ไม่เหมาะแก่ชนจำนวน
มากมีกษัตริย์เป็นต้น และแก่บรรพชิตทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้นจึงช่วยกันหาม
พระตถาคตด้วยเสลี่ยงแห่งเตียงน้อยนำไปสู่สวนชื่อว่า มัททกุจฉิ.
ด้วยเหตุนั้นแหละ ท่านพระอานนทเถระ จึงกล่าวว่า ก็โดยสมัยนั้น
แหละ พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกสะเก็ดหินกระทบแล้ว. บทว่า ภูสา
แปลว่า มาก คือ มีกำลังยิ่ง. บทว่า สุทํ สักว่า เป็นนิบาติ. บทว่า ทุกฺขา
แปลว่า ลำบาก ได้แก่ไม่มีความสุข. บทว่า ติปฺปา แปลว่า กล้า ได้แก่
มีมาก. บทว่า ขรา แปลว่า แข็ง ได้แก่ หยาบ. บทว่า กฏุกา แปลว่า
เผ็ดร้อน ได้แก่ กล้าแข็ง. บทว่า อาสาตา แปลว่า ไม่สำราญ ได้แก่
ไม่ชุ่มชื่น. ชื่อว่า ไม่ทรงสบาย เพราะอรรถว่า ใจย่อมไม่แนบสนิทในอารมณ์
เหล่านั้น อารมณ์เหล่านั้นไม่ยังใจให้เอิบอาบ คือไม่ให้เจริญ. บทว่า สโต
สมฺปชาโน แปลว่า มีพระสติสัมปชัญญะ ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยพระสติ
และสัมปชัญญะอดกลั้นในเวทนา. บทว่า อวิหญฺมาโนปิ แปลว่า ไม่ทรง
เดือดร้อน คือไม่ถูกบีบคั้นอยู่ ไม่ไปสู่อำนาจแห่งเวทนาทั้งหลายอันให้เป็นไป.
ในบทว่า สีหเสยฺยํ นี้ ได้แก่ การนอน ๔ อย่างคือ
กามโภคีเสยฺยา คือการนอนของผู้มีปกติเสพกาม
เปตเสยฺยา คือการนอนของเปรต (ผู้ตายแล้ว)
สีหเสยฺยา คือการนอนของสีหะ
ตถาคตเสยฺยา คือการนอนของพระตถาคต.
ในการนอน ๔ เหล่านั้น การนอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดู
ก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ผู้บริโภคกามโดยมากย่อมนอนโดยข้างเบื้องซ้าย (ตะแคง
ซ้าย) นี้ชื่อว่า กามโภคีไสยา. จริงอยู่ในบรรดาสัตว์ผู้บริโภคกามเหล่านั้น
ชื่อว่า การนอนโดยข้างเบื้องขวา (ตะแคงขวา) มีไม่มาก.
การนอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรต
ทั้งหลาย โดยมากย่อมนอนหงาย นี้ชื่อว่า เปตเสยยา. จริงอยู่ เปรตทั้งหลาย
ย่อมไม่อาจเพื่อนอนโดยข้างหนึ่งได้ เพราะความที่ตนมีเนื้อและเลือดน้อย
เพราะความที่โครงกระดูกยุ่งเหยิง จึงนอนหงายเท่านั้น.
การนอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สีห
มิคราช โดยมาก ให้หางของตนเข้าไปในระหว่างขาอ่อน แล้วนอนตะแคง
ขวา นี้ชื่อว่า สีหไสยา. จริงอยู่ สีหมิคราชมีอำนาจมาก เมื่อจะนอนก็วาง
เท้าหน้า ๒ เท้าไว้ที่หนึ่ง วาง ๒ เท้าหลังไว้ที่หนึ่ง แล้วเอาหางใส่ไว้ระหว่าง
ขาอ่อน กำหนดโอกาสที่วางเท้าหน้า เท้าหลังและหางไว้ แล้ววางศีรษะไว้
บนเท้าหน้าทั้งสองแล้วนอน คุรั้นนอนแม้ทั้งวัน เมื่อตื่นก็ไม่ตกใจตื่น คือว่า
ยกศีรษะขึ้นกำหนดโอกาสที่วางเท้าหน้าเป็นต้น ถ้าอะไร ๆ ตั้งผิดไป ก็จะไม่
มีใจเป็นของ ๆ ตนจะเสียใจว่า เหตุนี้ ไม่สมควรแก่ชาติของท่าน (ของตน)
ทั้งไม่สมควรแก่ความเป็นผู้กล้าหาญ ดังนี้ ย่อมนอนเหมือนอย่างนั้น ไม่ยอม
ไปหาอาหาร ก็แต่เมื่ออวัยวะมีเท้าหน้าเป็นต้นตั้งไว้เรียบร้อย ก็จะมีใจร่าเริงว่า
เหตุนั้น สมควรแก่ชาติของท่าน และสมควรแก่ความเป็นผู้กล้าหาญ ลุกขึ้น
บิดกายแบบราชสีห์ สะบัดขนสร้อยคอบันลือสีหนาทแล้วก็ออกไปโคจร (หา
อาหาร).
การนอนในฌานที่ ๔ ตรัสเรียกว่า ตถาคตไสยา. ในการนอนทั้ง ๔
นั้น การนอนดังสีหะมาในสูตรนี้. จริงอยู่ การนอนนี้ ชื่อว่า การนอนอัน
อุดม เพราะความที่การนอนนั้นเป็นอิริยาบถอันมีอำนาจมาก. บทว่า ปาเท ปทํ
ได้แก่ วางเท้าซ้ายบนเท้าขวา. บทว่า อจฺจาธาย แปลว่า ซ้อนเท้า ได้แก่
เหลื่อมเท้ากันหน่อยหนึ่ง เพราะว่า ข้อเท้ากระทบกับข้อเท้า เข่ากระทบกับเข่า
เวทนาย่อมเกิดบ่อย ๆ จิตก็จะไม่ตั้งมั่น การนอนก็ไม่ผาสุก คือว่า การนอน
ย่อมไม่ติดต่อกัน การเหลื่อมเท้าแล้ววางอย่างนี้ เวทนาย่อมไม่เกิด จิตย่อมตั้ง
มั่น เพราะฉะนั้น จึงนอนอย่างนี้. บทว่า สโต สมฺปชาโน ได้แก่ มีสติ-
สัมปชัญญะกำหนดในการนอน. ก็บทว่า อุฏฺานสญฺํ แปลว่า มีความ
สำคัญในการที่จะลุกขึ้นนี้ ท่านไม่ได้กล่าวไว้ในที่นี้. ก็การสำเร็จสีหไสยาของ
พระตถาคตนั้น เป็นการนอนเพราะประชวร.
ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดาสตุลลปกายิกาเจ็ดร้อย
มีวรรณะงามยังสวนมัททกุจฉิทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
บทว่า สตฺตสตา แปลว่า เจ็ดร้อย คือ เทวดาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด
ในพระสูตรนี้ มาสู่ที่เป็นที่บรรทมประชวร. บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ แปล
ว่า ได้เปล่งอุทาน ได้แก่ พวกเทวดาผู้มาสู่ที่บรรทมประชวรแล้ว จะพึงมี
โทมนัสนั่นแหละได้เปล่งแล้ว อธิบายว่า ก็พวกเทวดาเหล่านั้น เห็นความอด
กลั้นต่อเวทนาของพระตถาคตแล้วจึงเปล่งอุทานว่า โอ ความที่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายมีอานุภาพมาก เมื่อเวทนาชื่อเห็นปานนี้เป็นไปอยู่แม้สักว่าการครางก็มี
ได้มี ทรงบรรทมด้วยพระวรกายอันไม่หวั่นไหวราวกะรูปอันสำเร็จด้วยทองที่
บุคคลประดับแล้วตั้งไว้บนที่นอนอันเป็นสิริ บัดนี้ พระสรีระของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าย่อมรุ่งโรจน์ยิ่ง ดุจพระจันทร์เพ็ญสมบูรณ์ด้วยรัศมี พระพักตร์
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็งดงาม ดุจดอกปทุมกำลังแย้มบาน ในขณะนี้ แม้
วรรณะเเห่งพระวรกายก็ผ่องใส ดุจทองคำที่หลอมดีแล้ว ดังนี้.
ก็ในบทว่า นาโค วต โภ แปลว่า พระสมณโคดมผู้เจริญ เป็น
นาคหนอ นี้เป็นคำร้องเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยธรรม. อธิบายว่า ชื่อว่า
นาคะ เพราะอรรถว่ามีกำลัง. บทว่า นาควตา แก้เป็น นาคภาเวน แปล
ว่า เพราะความเป็นนาคะ ในครั้งนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ใน
สำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
พระสมณโคดม ทรงเป็นสีหะหนอ…
พระสมณโคดม ทรงเป็นอาชาไนยหนอ..
พระสมณโคดม ทรงเป็นผู้อาจหนอ…
พระสมณโคดม ทรงเป็นผู้ใฝ่ธุระหนอ…
พระสมณโคดม ทรงเป็นผู้ฝึกแล้วหนอ…
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า สีโห วต เป็นต้น ชื่อว่า สีหะ เพราะ
อรรถว่า เป็นผู้ไม่สะดุ้งตกใจ. ชื่อว่า อาชาไนย เพราะอรรถว่าปฏิบัติหน้าที่
ด้วยความเฉลียวฉลาด หรือเพราะรู้ถึงเหตุ. ชื่อว่า นิสภะ คือ ผู้องอาจ
เพราะอรรถว่า หาผู้เปรียบเสมอมิได้. จริงอยู่ โคอุสภะเป็นสัตว์ประเสริฐเป็น
หัวหน้าในฝูงแห่งโคร้อยตัว โคอาสภะ เป็นสัตว์ประเสริฐสุดเป็นหัวหน้าในฝูง
แห่งโคพันตัว โคนิสภะ บัณฑิต กล่าวว่าเป็นสัตว์ประเสริฐสุดกว่าฝูงแห่งโค
ร้อยตัวและพันตัว. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฎิญญา คือรับรองอาสภฐาน
(ฐานะอันประเสริฐ) เพราะอรรถว่าหาผู้เปรียบเสมอมิได้. ในที่นี้ เทวดา
กล่าวคำว่า นิสภศัพท์ ด้วยอรรถนั้นนั่นแหละ. ชื่อว่า เป็นผู้ใฝ่ธุระ เพราะ
อรรถว่านำธุระไป. ชื่อว่า เป็นผู้ฝึกแล้ว เพราะอรรถว่า มีการเสพผิด
ออกแล้ว. บทว่า ปสฺส แปลว่า จงดู ได้แก่ เป็นคำสั่งที่ไม่มีกำหนด
บทว่า สมาธึ ได้แก่ สมาธิในอรหัตผล. บทว่า สุวิมุตฺติ แปลว่า
ให้พ้นดีแล้ว ได้แก่ ให้พ้นดีแล้วด้วยความพ้นของผลจิต. อนึ่ง จิตเป็น
ไปตามราคะพระสมณโคดมไม่ให้น้อมไปแล้ว และจิตเป็นไปตามโทสะ พระ-
สมณโคดมไม่ให้กลับมาแล้วนี้ เทวดากล่าวว่า ไม่ให้น้อมไปเฉพาะแล้ว
และไม่ให้กลับมาแล้ว เพราะความไม่มีจิตทั้งสองนั้น.
บทว่า น จ สสงฺขารนิคฺคยฺห วาริตวตํ ได้แก่ ไม่ต้องข่ม
ไม่ต้องห้ามกิเลสทั้งหลายอันเป็นไปกับสัมปโยคะ อันเป็นไปกับด้วยสังขาร.
คือ จิตตั้งมั่นเป็นไปกับด้วยผลสมาธิ เพราะท่านตัดกิเลสทั้งหลายแล้ว. บทว่า
อติกฺกมิตพฺพํ แปลว่า เป็นผู้อันตนพึงล่วงเกิน คือว่า พึงเป็นผู้อันตนข่มได้
อันตนพึงเบียดเบียนได้. บทว่า อทสฺสนา ได้แก่ ไม่มีญาณ จริงอยู่
บุคคลผู้ไม่มีญาณ ก็ต้องเป็นอันธพาลเท่านั้น. คำว่า เอวรูเป สตฺถริ
ปรชฺเฌยฺย ความว่า เทวดาทั้งหลายย่อมกล่าวติเตียนพระเทวทัตว่า เมื่อ
พระศาสดามีคุณเห็นปานนี้ ท่านยังทำอันตรายไค้ ดังนี้. บทว่า ปญฺจเวทา
แปลว่า มีเวท ๕ ได้แก่ เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งเวททั้งหลาย มีอิติหาสเวทเป็นที่ ๕
(คือความรู้ทางประเพณีเป็นที่ ๕). บทว่า สตํ สมํ แก้เป็น วสฺสสตํ
แปลว่า ร้อยปี. บทว่า ตปสฺสี แปลว่า มีตบะ ได้แก่ อาศัยตบะ.
บทว่า จรํ แก้เป็น จรนฺตา แปลว่า ประพฤติอยู่. บทว่า น สมฺมา วิมุตฺตํ
แปลว่า ไม่พ้นแล้วโดยชอบ อธิบายว่า แม้พราหมณ์ทั้งหลายเห็นปานนี้
พระพฤติพรตอยู่ตั้งร้อยปี ถึงอย่างนั้นจิตของพราหมณ์นั้นก็ไม่พ้นแล้วโดยชอบ.
บทว่า หีนตฺตรูปา น ปารํ คมา เต แปลว่า พราหมณ์
เหล่านั้นมีรูปอันเลว ย่อมไม่ลุถึงฝั่ง อธิบายว่า พราหมณ์เหล่านั้นมีสภาวะ
อันเลว ย่อมไม่ลุถึงพระนิพพาน. พระบาลีว่า หีนตฺถรูปา ดังนี้ก็มี อธิบายว่า
พราหมณ์เหล่านั้นมีชาติอันเลว มีประโยชน์อันเสื่อมรอบแล้ว. บทว่า
คณฺหาธิปนฺนา แก้เป็น ตณฺหาย อชฺโฌตฺถตา แปลว่า พราหมณ์
เหล่านั้น เป็นผู้อันตัณหาครอบงำแล้ว. บทว่า วตฺตสีลพทฺธา แปลว่า
เกี่ยวข้องแล้วด้วยพรตและศีล อธิบายว่า พราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้อันพรต
ทั้งหลาย มีความประพฤติดังแพะ และประพฤติดังสุนัข เป็นต้น และศีล
ทั้งหลายเช่นนั้นแหละผูกพันไว้แล้ว. บทว่า ลูขํ ตปํ แปลว่า ตบะอันเศร้า
หมอง ได้แก่ ตบะซึ่งมีความพอใจในการย่างตน ๕ อย่าง มีการนอนบน
หนาม เป็นต้น.
บัดนี้ เทวดานั้น เมื่อจะกล่าวถึงความที่ศาสนาเป็นนิยานิกธรรม
จึงกล่าวคำว่า น มานกามสฺส เป็นอาทิ. คำนั้น มีเนื้อความได้กล่าวไว้
แล้วแล.
จบอรรถกถาสกลิกสูตรที่ ๘