15-033 ผลสำเร็จแห่งทาน



พระไตรปิฎก


๓. สาธุสูตร
ว่าด้วยผลสำเร็จแห่งทาน
[๙๔] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี
ครั้นเมื่อราตรีผ่านไป พวกเทวดาสตุลลปกายิกาจำนวนมากมีวรรณะงดงามยิ่งนัก
เปล่งรัศมีให้สว่างทั่วพระเชตวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาท
แล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร
[๙๕] เทวดาองค์หนึ่งยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ทานให้ประโยชน์สำเร็จได้จริง
แม้เมื่อของมีน้อย ทานก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
เพราะความตระหนี่และความประมาท
บุคคลจึงให้ทานอย่างนี้ไม่ได้
บุคคลผู้หวังบุญรู้แจ้งอยู่จึงให้ทานได้
[๙๖] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ทานให้ประโยชน์สำเร็จได้จริง
อนึ่ง แม้เมื่อของมีน้อย ทานก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
คนพวกหนึ่งเมื่อของมีน้อยก็แบ่งให้ได้
พวกหนึ่งมีของมากกลับแบ่งให้ไม่ได้
ทักษิณาที่ให้จากของน้อย นับว่าเท่ากับของเป็นพัน
[๙๗] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ทานให้ประโยชน์สำเร็จได้จริง
แม้เมื่อของมีน้อย ทานก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
อนึ่ง ทานที่ให้แม้ด้วยศรัทธาก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ทานกับการรบเสมอกัน
พวกวีรบุรุษแม้มีน้อยก็เอาชนะคนขี้ขลาดที่มากกว่าได้
ถ้าบุคคลมีศรัทธา ย่อมให้สิ่งของแม้มีน้อยได้
เพราะเหตุนั้น ทายกนี้จึงเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า
[๙๘] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ทานให้ประโยชน์สำเร็จได้จริง
แม้เมื่อของมีน้อย ทานก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
ทานที่ให้แม้ด้วยศรัทธาก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
อนึ่ง ทานที่ให้แม้แก่บุคคลผู้ได้ธรรม A แล้วก็ยิ่งเป็นการดี
บุคคลใดให้ทานแก่บุคคลผู้ได้ธรรมแล้ว
ผู้มีความขยันหมั่นเพียรอันตนบรรลุแล้ว
บุคคลนั้นข้ามพ้นนรกแห่งยมราชได้แล้วเข้าถึงฐานะอันเป็นทิพย์
[๙๙] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ทานให้ประโยชน์สำเร็จได้จริง
แม้เมื่อของมีน้อย ทานก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
ทานที่ให้แม้ด้วยศรัทธาก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
ทานที่ให้แก่บุคคลผู้ได้ธรรมแล้วก็ยิ่งเป็นการดี
อนึ่ง แม้ทานที่บุคคลเลือกให้ก็เป็นทานให้ประโยชน์สำเร็จได้
ทานที่บุคคลเลือกให้ พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว
บุคคลเหล่าใด ควรแก่ทักษิณามีอยู่ในโลกคือหมู่สัตว์นี้
ทานทั้งหลายที่บุคคลเลือกให้แล้วในบุคคลเหล่านั้นย่อมมีผลมาก
เหมือนพืชทั้งหลายที่บุคคลหว่านลงในนาชั้นดี ฉะนั้น
[๑๐๐] ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ทานให้ประโยชน์สำเร็จได้จริง
แม้เมื่อของมีน้อย ทานก็ให้ประโยชน์สำเร็จได้
ทานที่ให้แม้ด้วยศรัทธาก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้
ทานที่ให้แก่บุคคลผู้ได้ธรรมแล้วก็ยิ่งเป็นการดี
ทานที่บุคคลเลือกให้ก็ยิ่งเป็นการดี
อนึ่ง ความสำรวมแม้ในสัตว์ทั้งหลายก็ยิ่งเป็นการดี
บุคคลใดไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย
ไม่ทำบาปเพราะคำติเตียนจากผู้อื่น
บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น ซึ่งเป็นคนกลัวบาป
แต่ไม่สรรเสริญบุคคลผู้กล้าในการทำบาปนั้น
สัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ทำบาป เพราะกลัวบาปอย่างแท้จริง
ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระ-
ผู้มีพระภาค คำของใครหนอเป็นสุภาษิต”
[๑๐๑] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “คำพูดของพวกท่านทั้งหมดเป็นสุภาษิตโดยอ้อม
แต่ขอพวกท่านจงฟังคำของเราบ้าง
ความจริง ทานที่ให้ด้วยศรัทธาบัณฑิตสรรเสริญมาก
แต่บทแห่งธรรม B ประเสริฐกว่าทาน
เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลายผู้มีปัญญา
ในกาลก่อนก็ดี ในกาลก่อนโน้นก็ดี ได้บรรลุนิพพานนั่นเอง
สาธุสูตรที่ ๓ จบ
เชิงอรรถ
A บุคคลผู้ได้ธรรม หมายถึงอริยบุคคลผู้บรรลุธรรม (สํ.ส.อ. ๑/๓๓/๖๐)
B บทแห่งธรรม หมายถึงนิพพาน (สํ.ส.อ. ๑/๓๓/๖๑)

บาลี



สาธุสุตฺต
[๙๔] อถ โข สมฺพหุลา สตุลฺลปกายิกา เทวตาโย อภิกฺกนฺตาย
รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา เกวลกปฺป เชตวน โอภาเสตฺวา เยน
ภควา เตนุปสงฺกมึสุ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺต อภิวาเทตฺวา เอกมนฺต
อฏฺสุ ฯ
[๙๕] เอกมนฺต ิตา โข เอกา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม
อุทาน อุทาเนสิ
สาธุ โข มาริส ทาน
มจฺเฉรา จ ปมาทา จ เอว ทาน น ทียติ
ปุฺมากงฺขมาเนน เทยฺย โหติ วิชานตาติ ฯ
[๙๖] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ
สาธุ โข มาริส ทาน อปิจ อปฺปกสฺมึปิ สาหุ ๒ ทาน
อปฺปเสฺมเก ปเวจฺฉนฺติ พหุเนเก น ทิจฺฉเรู
อปฺปสฺมา ทกฺขิณา ทินฺนา สหสฺเสน สม มิตาติ ฯ
[๙๗] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ
สาธุ โข มาริส ทาน อปฺปกสฺมึปิ สาหุ ทาน
อปิจ สทฺธายปิ สาหุ ทาน
ทานฺจ ยุทฺธฺจ สมานมาหุ
อปฺปาปิ สนฺตา พหุเก ชินนฺติ
อปฺปมฺปิ เจ สทฺทหาโน ททาติ
เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถาติ ฯ
[๙๘] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ
สาธุ โข มาริส ทาน อปฺปกสฺมึปิ สาหุ ทาน
สทฺธายปิ สาหุ ทาน อปิจ ธมฺมลทฺธสฺสปิ สาหุ ทาน
โย ธมฺมลทฺธสฺส ททาติ ทาน
อุฏฺานวิริยาธิคตสฺส ชนฺตุ
อติกฺกมฺม ๓ เวตรณึ ยมสฺส
ทิพฺพานิ านานิ อุเปติ มจฺโจติ ฯ
[๙๙] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน
อุทาเนสิ
สาธุ โข มาริส ทาน อปฺปกสฺมึปิ สาหุ ทาน
สทฺธายปิ สาหุ ทาน ธมฺมลทฺธสฺสปิ สาหุ ทาน
อปิจ วิเจยฺยทานปิ สาธุ
วิเจยฺยทาน สุคตปฺปสตฺถ
เย ทกฺขิเณยฺยา อิธ ชีวโลเก
เอเตสุ ทินฺนานิ มหปฺผลานิ
วีชานิ วุตฺตานิ ยถา สุเขตฺเตติ ฯ
[๑๐๐] อถ โข อปรา เทวตา ภควโต สนฺติเก อิม อุทาน อุทาเนสิ
สาธุ โข มาริส ทาน อปฺปกสฺมึปิ สาหุ ทาน
สทฺธายปิ สาหุ ทาน ธมฺมลทฺธสฺสปิ สาหุ ทาน
วิเจยฺยทานปิ สาธุ อปิจ ปาเณสุปิ สาธุ สยโม
โย ปาณภูตานิ ๔ อเหย จร
ปรูปวาทา น กโรติ ปาป
ภีรุ ปสสนฺติ น หิ ตตฺถ สูร
ภยา หิ สนฺโต น กโรนฺติ ปาปนฺติ ฯ
อถ โข อปรา เทวตา ภควนฺต เอตทโวจ กสฺส นุ โข ภควา
สุภาสิตนฺติ ฯ
[๑๐๑] สพฺพาส โว สุภาสิต ปริยาเยน อปิจ มมาปิ ๕ สุณาถ
สทฺธาหิ ๖ ทาน พหุธา ปสตฺถ
ทานา จ ๗ โข ธมฺมปทว เสยฺโย
ปุพฺเพว หิ ปุพฺพตเรว สนฺโต
นิพฺพานเมวชฺฌคมม สปฺาติ ฯ

******************

#๑ ม. เอตฺถนฺตเร สตนฺติ อตฺถิ ฯ ๒ ยุ. อปฺปสฺมึปิ สาธูติ ทิสฺสติ ฯ
๓ ม. ยุ. เอตฺถนฺตเร โสติ อตฺถิ ฯ
๔ ยุ. ปาณภูเตสุ ฯ ๕ ยุ. มมปิติ ทิสฺสติ ฯ ๖ อทฺธาหีติ วา ปาโ ฯ
๗ สี. ทานฺจ ฯ

อรรถกถา


อรรถกถาสาธุสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสาธุสูตรที่ ๓ ต่อไป:-
บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ แก้เป็น อุทาหารํ อุทาหริ ได้แก่
เปล่งวาจายกตัวอย่างมาอ้าง. เหมือนอย่างว่า บุคคลย่อมไม่อาจเพื่อจะถือเอา
ประมาณน้ำมันอันน้อยได้ เพราะซึมซาบไป ท่านเรียกน้ำมันนั้นว่า เป็นส่วน
ที่เหลือเศษ บุคคลใด ย่อมไม่อาจเพื่อถือเอาทะเลสาบที่มีน้ำมาก อันใด
เพราะไหลท่วมทับ ท่านเรียกน้ำนั้นว่า โอฆะ ฉันใด หทัยใด ย่อมไม่อาจ
เพื่อจะยึดซึ่งถ้อยคำอันเกิดจากปีติไว้ได้ เพราะเป็นถ้อยคำอันมีกำลังยิ่ง อดกลั้น
อยู่ภายในไม่ได้ ย่อมออกมาภายนอก ท่านจึงเรียกถ้อยคำนั้นว่า อุทาน ฉันนั้น
เหมือนกัน เทวดานั้นเปล่งอุทานถือถ้อยคำอันเกิดแต่ปีติเห็นปานนี้. ในลำดับ
นั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ทานยัง
ประโยชน์ให้สำเร็จได้แล แม้เมื่อของมี
อยู่น้อย ทานก็ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้
อนึ่ง ทานที่ให้แม้ด้วยศรัทธา ก็ยัง
ประโยชน์ให้สำเร็จได้ นักปราชญ์ทั้งหลาย
กล่าวว่า ทานและการรบเสมอกัน พวก
วีรบุรุษแม้มีน้อย ย่อมชนะคนฉลาดที่มี
มากได้ ถ้าบุคคลเชื่ออยู่ ย่อมให้สิ่งของ
แม้น้อยได้ เพราะฉะนั้นแล ทายกนั้น
ย่อมเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า.
บทว่า สทฺธายปิ สาหุ ทานํ แปลว่า ทานที่ให้แม้ด้วยศรัทธาก็
ยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ ได้แก่ ทานที่บุคคลแม้เชื่อซึ่งกรรมและผลของกรรม
แล้วให้ เป็นการยังประโยชน์ให้สำเร็จได้ คือ เป็นกรรมอันเจริญที่ตนได้.
บทว่า อาหุ แก้เป็น กเถนฺติ แปลว่า ย่อมกล่าว. ถามว่า อย่างไร ทาน
และการรบทั้งสองนั้น จึงชื่อว่าเสมอกัน. ตอบว่า เพราะว่าบุคคลผู้ขลาดในชีวิต
ย่อมไม่อาจเพื่อจะรบ บุคคลผู้กลัวความสิ้นเปลือง ก็ย่อมไม่อาจเพื่อจะให้ทาน.
จริงอยู่ เมื่อบุคคลกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักรักษาชีวิตด้วย จักรบด้วย
ดังนี้ ย่อมไม่รบ แต่บุคคลสละความอาลัยในชีวิตแล้วให้อุสาหะเกิดขึ้นว่า เรา
ถูกตัดอวัยวะหรือการตายก็ตาม เราจักต้องถึงความเป็นอิสระนั่น ดังนี้ทีเดียว
ย่อมรบ. บุคคลเมื่อกล่าวว่า เราจักรักษาโภคะทั้งหลายและจักให้ทาน ดังนี้
ชื่อว่า ย่อมไม่ให้ทาน แต่บุคคลสละความอาลัยในโภคะทั้งหลายและมีอุสาหะว่า
เราจักให้มหาทาน ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมให้ทาน. ทานและการรบ ย่อมเสมอกัน
แม้ด้วยอาการอย่างนัเ. คำอะไร ๆ ที่จะพึงกล่าวให้ยิ่งกว่านี้ย่อมไม่มี.
บทว่า อปฺปาปิ สนฺตา พหุเก ชินํ แปลว่า พวกวีรบุรุษแม้
มีน้อย ย่อมชนะคนขลาดที่มีมากได้ อธิบายว่า พวกวีรบุรุษถึงจะมีน้อย
ก็สามารถรบชนะผู้ขลาดที่มีมากได้ ฉันใด บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ก็ฉันนั้น
เมื่อให้ทานน้อยย่อมย่ำยีความตระหนี่มาก ทั้งยังได้ผลของทานเป็นอันมาก.
ทานและการรบจึงเสมอกัน แม้ด้วยอาการอย่างนี้. ด้วยเหตุนี้แหละ เทวดาจึง
กล่าวว่า ถ้าบุคคลเชื่ออยู่ ย่อมให้สิ่งของแม้น้อยได้ ดังนี้. ก็เพื่อประกาศ
เนื้อความนี้ว่า เพราะฉะนั้นแล ทายกนั้น ย่อมเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า
ดังนี้ พึงยังเรื่องพราหมณ์เอกสาฎกให้พิสดาร. บทว่า ธมฺมลทฺธสฺส แปลว่า
ผู้มีธรรมอันได้แล้ว ได้แก่ บุคคลผู้มีโภคะอันได้แล้วด้วยธรรมอันสงบ และ
บุคคลผู้มีธรรมอันได้แล้ว. ในข้อนี้ บุคคลผู้มีธรรมอันบรรลุแล้ว ผู้เป็น
พระอริยบุคคล ชื่อว่า ผู้มีธรรมอันได้แล้ว. เพราะฉะนั้น ทานอันบุคคลผู้มี
โภคะอันได้แล้วโดยธรรม ย่อมให้แก่พระอริยบุคคลผู้มีธรรมอันได้แล้ว ท่าน
กล่าวว่า แม้ข้อนั้น ก็เป็นการดี. เนื้อความในบทคาถาว่า บุคคลใด ย่อมให้
ทานแก่ผู้มีธรรมอันได้แล้ว แม้นี้ก็นัยนี้แหละ. บทว่า อุฏฺฐานวริยาธิคตสฺส
ได้แก่ ผู้มีโภคะอันบรรลุแล้ว ด้วยความบากบั่น และความเพียร. บทว่า
เวตรณี (ชื่อนรกขุมหนึ่งที่มีแม่น้ำ) นี้เป็นเพียงหัวข้อเทศนาเท่านั้น. อธิบาย
ว่า ก็บุคคลนั้นก้าวพ้นไปได้โดยประการทั้งปวง คือ ซึ่งนรกของพญายม ชื่อว่า
เวตรณีบ้าง ซึ่งมหานรก ๓๑ มีสัญชีวนรก และกาฬสุตตนรกเป็นต้นบ้าง.
ในลำดับนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานในสำนักพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ไม่มีทุกข์ ฯลฯ ทาน
ที่ให้แก่บุคคลผู้มีธรรมอันได้แล้ว เป็น
การดี อนึ่ง ทานที่บุคคลเลือกให้ยิ่งเป็น
การดี ทานที่เลือกให้พระสุคตทรง
สรรเสริญแล้ว.
บทว่า วิเจยฺย ทานํ แปลว่า ทานที่บุคคลเลือกให้. ในข้อนี้ ได้แก่
ทานที่บุคคลเลือกให้นั้นมี ๒ อย่าง คือ เลือกทักขิณา (ของสำหรับทำบุญ)
อย่างหนึ่ง เลือกพระทักขิไณยบุคคล (บุคคลผู้ควรรับของทำบุญ) อย่างหนึ่ง.
ในสองอย่างนั้น การนำปัจจัยทั้งหลายที่เลว ออกไปแล้วคัดเลือกเอาของที่
ประณีต ๆ ถวายแก่พระทักขิไณยบุคคลเหล่านั้น ชื่อว่า การเลือกทักขิณา.
การละเว้นบุคคลทั้งหลาย นอกจากศาสนานี้ ผู้มีศีลวิบัติแล้ว และบุคคลผู้
นอกรีตนอกรอย ๙๖ ประเภท แล้วถวายทานแก่บรรพชิตในพระศาสนา ผู้ถึง
พร้อมด้วยศีลาทิคุณ ชื่อว่า การเลือกพระทักขิไณยบุคคล. ด้วยอาการทั้งสอง
อย่าง อย่างนี้ ชื่อว่า ทานที่บุคคลเลือกให้. บทว่า สุคตปฺปสฏฺฐ แปลว่า
พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว. ก็เทวดากล่าวถึงการเลือกทักษิณา (ของทำบุญ)
ด้วยคำว่า พีชานิ วุตฺตานิ ยถา นี้ แปลว่า เหมือนพืชที่หว่านแล้ว อธิบายว่า
ไทยธรรม คือของทำบุญ อันประณีต ๆ เช่นกับการเลือกพืชที่หว่านแล้ว.
บทว่า ปาเณสุปิ สาธุ สํยโม แปลว่า ความสำรวมแม้ในสัตว์ทั้งหลายเป็น
การดี คือ ว่ามีความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ก็ย่อมเป็นกรรมอันเจริญ.
เทวดานี้ เมื่อจะก้าวล่วงอานิสงส์ของทานที่พวกเทวดาเหล่าอื่นกล่าว
แล้ว เพื่อกล่าวถึงอานิสงส์แห่งศีล จึงเริ่มคำว่า
โย ปาณภูตานิ อเหฐยํ จร
ปรูปวาทา น กโรติ ปาปํ
ภีรุํ ปสํสนฺติ น หิ ตตฺถ สูรํ
ภยา หิสนฺโต น กโรนฺติ ปาปํ.
บุคคลใดประพฤติตนเป็นผู้ไม่เบียด
เบียนสัตว์ทั้งหลาย เที่ยวไปอยู่ ไม่ทำบาป
เพราะกลัวความติเตียนแต่งผู้อื่น บัณฑิต
ทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญซึ่งบุคคลผู้กลัว
บาป แต่ไม่สรรเสริญบุคคลผู้กล้าในการ
ทำบาปนั้น สัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมไม่
ทำบาป เพราะความกลัวบาปแท้.
คำว่า อเหฐยํ จรํ แก้เป็น อวิหึสนฺโน จรมาโน แปลว่า เป็น
ผู้ไม่เบียดเบียน เที่ยวไปอยู่. บทว่า ปรูปวาทา แปลว่า เพราะกลัวความ
ติเตียนแห่งบุคคลอื่น. บทว่า ภยา ได้แก่ อุปวาทภัย (ภัยคือความติเตียน).
บทว่า ทานา จ โข ธมฺมปทํว เสยฺโย แปลว่า บทแห่งธรรมเท่านั้น
ประเสริฐกว่าทาน คือว่า บทแห่งธรรม กล่าวคือ พระนิพพานนั่นแหละ
ประเสริฐกว่าทาน.
บทว่า ปุพฺเพว หิ ปุพฺพตเรว สนฺโต แปลว่า เพราะว่าสัตบุรุษ
ทั้งหลายในกาลก่อนก็ดี กาลก่อนกว่าก็ดี อธิบายว่า ในกาลก่อน คือกาลแห่ง
พระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เป็นต้น และในกาลก่อนกว่า คือในกาล
แห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมน์ เป็นต้นก็ดี บัณฑิตเหล่านั้นแม้ทั้งหมด
ชื่อว่า เป็นสัตบุรุษในกาลก่อนหรือในกาลก่อนกว่านั้นแหละ ดังนี้แล.
จบอรรถกถาสาธุสูตร ที่ ๓

สนทนาธรรม

comments

Got anything to say? Go ahead and leave a comment!