12-301 การสมาทานธรรม 4 ประการ



พระไตรปิฎก


การสมาทานธรรม ๔ ประการ
{๕๒๓} [๔๗๕] ภิกษุทั้งหลาย การสมาทานธรรม ๔ ประการนี้
การสมาทานธรรม ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ
{๕๒๔} ๑. การสมาทานธรรมที่มีทุกข์ในปัจจุบัน และมีทุกข์เป็นวิบากในอนาคต
๒. การสมาทานธรรมที่มีสุขในปัจจุบัน แต่มีทุกข์เป็นวิบากในอนาคต
๓. การสมาทานธรรมที่มีทุกข์ในปัจจุบัน แต่มีสุขเป็นวิบากในอนาคต
๔. การสมาทานธรรมที่มีสุขในปัจจุบัน และมีสุขเป็นวิบากในอนาคต
[๔๗๖] ภิกษุทั้งหลาย
๑. บรรดาการสมาทานธรรมเหล่านั้น บุคคลผู้ไม่รู้จักการสมาทานธรรม
ที่มีทุกข์ในปัจจุบันและมีทุกข์เป็นวิบากในอนาคต ตกอยู่ในอวิชชา
ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘การสมาทานธรรมนี้มีทุกข์ในปัจจุบัน
และมีทุกข์เป็นวิบากในอนาคต’ เมื่อไม่รู้จักการสมาทานธรรมเหล่านั้น
ตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง จึงเสพการสมาทานธรรมนั้น
ไม่ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น เมื่อเสพการสมาทานธรรมนั้น ไม่
ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่
ไม่น่าพอใจ ก็เจริญยิ่งขึ้น ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
ย่อมเสื่อมไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นรู้ไม่ถูกต้อง
๒. บุคคลผู้ไม่รู้จักการสมาทานธรรมที่มีสุขในปัจจุบันแต่มีทุกข์เป็นวิบาก
ในอนาคต ตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘การ
สมาทานธรรมนี้มีสุขในปัจจุบันแต่มีทุกข์เป็นวิบากในอนาคต’ เมื่อไม่
รู้จักการสมาทานธรรมนั้นแล้วตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความ
เป็นจริง จึงเสพการสมาทานธรรมนั้น ไม่ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น
เมื่อเสพการสมาทานธรรมนั้น ไม่ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น
ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เจริญยิ่งขึ้น ธรรม
ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมเสื่อมไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะบุคคลนั้นรู้ไม่ถูกต้อง
๓. บุคคลผู้ไม่รู้จักการสมาทานธรรมที่มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็น
วิบากในอนาคต ตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
‘การสมาทานธรรมนี้มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบากในอนาคต’
เมื่อไม่รู้จักการสมาทานธรรมนั้น ตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ชัดตาม
ความเป็นจริง ไม่เสพการสมาทานธรรมนั้น ละเว้นการสมาทาน
ธรรมนั้น เมื่อไม่เสพการสมาทานธรรมนั้น ละเว้นการสมาทาน
ธรรมนั้น ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เจริญยิ่งขึ้น
ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมเสื่อมไป ข้อนั้น
เพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นรู้ไม่ถูกต้อง
๔. บุคคลผู้ไม่รู้จักการสมาทานธรรมที่มีสุขในปัจจุบันและมีสุขเป็น
วิบากในอนาคต ตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
‘การสมาทานธรรมนี้มีสุขในปัจจุบันและมีสุขเป็นวิบากในอนาคต’ เมื่อ
ไม่รู้จักการสมาทานธรรมนั้น ตกอยู่ในอวิชชา ไม่รู้ชัดตามความ
เป็นจริง ไม่เสพการสมาทานธรรมนั้น ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น
เมื่อไม่เสพการสมาทานธรรมนั้น ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น ธรรม
ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เจริญยิ่งขึ้น ธรรมที่
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมเสื่อมไป ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะบุคคลนั้นรู้ไม่ถูกต้อง
{๕๒๕} [๔๗๗] ภิกษุทั้งหลาย
๑. บรรดาการสมาทานธรรมเหล่านั้น บุคคลผู้รู้จักการสมาทานธรรม
ที่มีทุกข์ในปัจจุบันและมีทุกข์เป็นวิบากในอนาคต มีวิชชา รู้ชัดตาม
ความเป็นจริงว่า ‘การสมาทานธรรมนี้มีทุกข์ในปัจจุบันและมีทุกข์
เป็นวิบากในอนาคต’ เมื่อรู้จักการสมาทานธรรมนั้น มีวิชชา รู้ชัด
ตามความเป็นจริง จึงไม่เสพการสมาทานธรรมนั้น ละเว้นการ
สมาทานธรรมนั้น เมื่อไม่เสพการสมาทานธรรมนั้น ละเว้นการ
สมาทานธรรมนั้น ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
ก็เสื่อมไป ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมเจริญยิ่งขึ้น
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นรู้ถูกต้อง
๒. บุคคลผู้รู้จักการสมาทานธรรมที่มีสุขในปัจจุบันแต่มีทุกข์เป็น
วิบากในอนาคต มีวิชชา รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘การสมาทาน
ธรรมนี้มีสุขในปัจจุบันแต่มีทุกข์เป็นวิบากในอนาคต’ เมื่อรู้จักการ
สมาทานธรรมนั้น มีวิชชา รู้ชัดตามความเป็นจริง จึงไม่เสพการ
สมาทานธรรมนั้น ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น เมื่อไม่เสพการ
สมาทานธรรมนั้น ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น ธรรมที่ไม่น่าปรารถนา
ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เสื่อมไป ธรรมที่น่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ ย่อมเจริญยิ่งขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะบุคคลนั้นรู้
ถูกต้อง
๓. บุคคลผู้รู้จักการสมาทานธรรมที่มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็น
วิบากในอนาคต มีวิชชา รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘การสมาทาน
ธรรมนี้ มีทุกข์ในปัจจุบันแต่มีสุขเป็นวิบากในอนาคต’ เมื่อรู้จักการ
สมาทานธรรมนั้น มีวิชชา รู้ชัดตามความเป็นจริง จึงเสพการ
สมาทานธรรมนั้น ไม่ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น เมื่อเสพการ
สมาทานธรรมนั้น ไม่ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น ธรรมที่ไม่น่า
ปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เสื่อมไป ธรรมที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมเจริญยิ่งขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะ
บุคคลนั้นรู้ถูกต้อง
๔. บุคคลผู้รู้จักการสมาทานธรรมที่มีสุขในปัจจุบันและมีสุขเป็น
วิบากในอนาคต มีวิชชา รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า ‘การสมาทาน
ธรรมนี้มีสุขในปัจจุบันและมีสุขเป็นวิบากในอนาคต’ เมื่อรู้จักการ
สมาทานธรรมนั้น มีวิชชา รู้ชัดตามความเป็นจริง จึงเสพการ
สมาทานธรรมนั้น ไม่ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น เมื่อเสพการ
สมาทานธรรมนั้น ไม่ละเว้นการสมาทานธรรมนั้น ธรรมที่ไม่น่า
ปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ก็เสื่อมไป ธรรมที่น่าปรารถนา
น่าใคร่ น่าพอใจ ย่อมเจริญยิ่งขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะ
บุคคลนั้นรู้ถูกต้อง

บาลี



รออัพเดต

อรรถกถา


รออัพเดต

สนทนาธรรม

comments

Comments are closed.