01-479 สังฆาทิเสส 5 การชักสื่อ



พระไตรปิฎก


๕. สัญจริตตสิกขาบท
ว่าด้วยการชักสื่อ
เรื่องพระอุทายี

{๔๒๑} [๒๙๖] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีเป็นพระที่ใกล้ชิด
ตระกูลในกรุงสาวัตถี ไปมาหาสู่ตระกูลเป็นอันมากที่ตนเห็นว่ามีเด็กหนุ่มที่ยังไม่มี
ภรรยาหรือเด็กสาวที่ยังไม่มีสามี กล่าวยกย่องคุณสมบัติของเด็กสาวให้มารดาบิดา
ของเด็กหนุ่มฟังว่า “สาวน้อยของตระกูลโน้น รูปงาม น่าดู น่าชม ฉลาดหลักแหลม
ไหวพริบดี ขยันไม่เกียจคร้าน สาวน้อยคนนั้นเหมาะสมกับชายหนุ่มคนนี้”
มารดาบิดาของเด็กหนุ่มก็กล่าวว่า “พระคุณเจ้า คนเหล่านั้นไม่รู้จักพวกเราว่า
‘เป็นใครหรือพวกพ้องของใคร’ ถ้าพระคุณเจ้าจะพูดทาบทามให้ พวกเราก็จะสู่ขอ
เด็กสาวนั้นมาให้เด็กหนุ่มคนนี้” พระอุทายีนั้นไปกล่าวยกย่องคุณสมบัติของเด็ก
หนุ่มให้มารดาบิดาของเด็กสาวฟังว่า “ชายหนุ่มของตระกูลโน้น รูปงาม น่าดู น่าชม
ฉลาดหลักแหลมไหวพริบดี ขยันไม่เกียจคร้าน ชายหนุ่มคนนั้นเหมาะสมกับสาว
น้อยคนนี้” ข้างมารดาบิดาของเด็กสาวก็กล่าวว่า “พระคุณเจ้า คนเหล่านั้นไม่รู้จัก
พวกเราว่า ‘เป็นใครหรือพวกพ้องของใคร’ การที่จะพูดยกสาวน้อยให้เขาก็ดูกระไรอยู่
ถ้าพระคุณเจ้าช่วยไปพูดให้เขามาสู่ขอ พวกข้าพเจ้าก็จะยกสาวน้อยคนนี้ให้ชายหนุ่ม
คนนั้น” ด้วยวิธีอย่างนี้ พระอุทายีจึงให้มารดาบิดาของหนุ่มสาวทำอาวาหมงคลบ้าง
วิวาหมงคลบ้าง หรือชักนำให้สู่ขอหมั้นหมายกันบ้าง
{๔๒๒} [๒๙๗] สมัยนั้น บุตรสาวของหญิงม่ายผู้เคยเป็นภรรยาโหร๑คนหนึ่ง
มีรูปงาม น่าดู น่าชม พวกสาวกอาชีวกจากหมู่บ้านอื่นมาบอกภรรยาโหรนั้นว่า
“แม่คุณ ท่านจงยกเด็กสาวคนนี้ ให้ชายหนุ่มของพวกเราเถิด”
ภรรยาโหรตอบว่า “ดิฉันไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใครหรือเป็นพวกพ้องของ
ใคร อีกประการหนึ่ง เด็กสาวคนนี้เป็นบุตรสาวคนเดียวของดิฉัน นางต้องไปอยู่บ้าน
อื่น ดิฉันยกให้ไม่ได้”
ชาวบ้านกล่าวกับพวกสาวกอาชีวกว่า “พระคุณเจ้า พวกท่านมาธุระอะไรกัน”
พวกสาวกอาชีวกตอบว่า “พวกเรามาขอบุตรสาวกะภรรยาโหรชื่อโน้นในที่นี้
ให้แก่เด็กหนุ่มของพวกเรา แต่นางปฏิเสธว่า ‘ดิฉันไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใคร ฯลฯ
ดิฉันยกให้ไม่ได้”
ชาวบ้านแนะนำว่า “พระคุณเจ้าไปขอหญิงสาวกะภรรยาโหรทำไมกัน ไปพูด
กับพระอุทายีไม่ดีกว่าหรือ พระอุทายีช่วยให้เขายินยอมยกให้ได้”
พวกสาวกอาชีวกไปหาท่านพระอุทายีถึงที่อยู่ ครั้นถึงแล้ว ได้กล่าวว่า “พระ
คุณท่าน พวกกระผมมาขอบุตรสาวกะภรรยาโหรชื่อโน้นในที่นี้ให้แก่เด็กหนุ่มของ
พวกกระผม แต่ถูกนางปฏิเสธว่า ‘ดิฉันไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นใคร ฯลฯ ดิฉันยก
ให้ไม่ได้’ พระคุณท่านช่วยด้วยเถิดขอรับ ช่วยพูดให้ภรรยาโหรยอมยกบุตรสาวให้
แก่เด็กหนุ่มของพวกกระผมด้วย”
ลำดับนั้นท่านพระอุทายีจึงเข้าไปหาภรรยาโหรถึงที่อยู่ ครั้นถึงแล้ว ได้ถามว่า
“ทำไม เธอไม่ยกบุตรสาวให้คนเหล่านี้เล่า”
ภรรยาโหรตอบว่า “ดิฉันไม่ทราบว่าคนเหล่านี้เป็นใครหรือเป็นพวกพ้องของใคร
อีกประการหนึ่ง เด็กสาวนี้เป็นบุตรสาวคนเดียวของดิฉัน นางต้องไปอยู่บ้านอื่น
ดิฉันจึงไม่ยกให้เจ้าค่ะ”
“ท่านจงยกให้ไปเถอะ อาตมารู้จักคนพวกนี้ดี”
“ถ้าพระคุณเจ้ารู้จัก ดิฉันก็จะยกให้”
ต่อมา ภรรยาโหรจึงยกบุตรสาวให้สาวกอาชีวก ครั้นพวกเขาพาเด็กสาวไป
ได้เลี้ยงดูอย่างสะใภ้ เดือนเดียวเท่านั้น ต่อจากนั้นเลี้ยงดูอย่างทาสหญิง
{๔๒๓} ต่อมา สาวน้อยส่งข่าวไปถึงมารดาว่า “ลูกตกระกำลำบาก หาความสุขไม่
ได้เลย พวกเขาเลี้ยงดูลูกในฐานะหญิงสะใภ้เดือนเดียวเท่านั้น ต่อจากนั้นเลี้ยงดู
อย่างทาสหญิง คุณแม่โปรดมารับลูกกลับไปเถิด”
ครั้นทราบข่าว ภรรยาโหรจึงไปหาพวกสาวกอาชีวกถึงที่อยู่ กล่าวว่า “พวก
ท่านอย่าเลี้ยงดูสาวน้อยอย่างทาสหญิง โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้เถิด”
พวกสาวกอาชีวกตอบว่า “พวกเราไม่ได้รับรองและตกลงไว้กับท่าน แต่รับ
รองและตกลงไว้กับพระต่างหาก หลีกไป พวกเราไม่รู้จักท่าน”
ครั้นภรรยาโหรถูกพวกสาวกอาชีวกพูดรุกรานจึงเดินทางกลับกรุงสาวัตถี
ฝ่ายสาวน้อยก็ยังส่งข่าวไปถึงมารดาอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า “ลูกตกระกำลำบาก หา
ความสุขไม่ได้เลย ฯลฯ คุณแม่โปรดมารับลูกกลับไปเถิด”
ภรรยาโหรจึงไปหาพระอุทายีถึงที่อยู่แล้วกล่าวว่า “พระคุณเจ้า ทราบมาว่า
บุตรสาวของดิฉันตกระกำลำบาก ไม่ได้ความสุข ได้รับการเลี้ยงดูอย่างสะใภ้ เดือน
เดียวเท่านั้น จากนั้นถูกเลี้ยงดูอย่างทาสหญิง พระคุณเจ้าควรขอร้องว่า อย่าเลี้ยงดู
สาวน้อยอย่างทาสหญิง โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้”
ต่อมาพระอุทายีได้ไปหาพวกสาวกอาชีวกถึงที่อยู่ขอร้องว่า “พวกท่านอย่า
เลี้ยงดูสาวน้อยอย่างทาสหญิง โปรดเลี้ยงดูอย่างสะใภ้เถิด”
พวกสาวกอาชีวกตอบว่า “พวกเราไม่ได้รับรองและตกลงไว้กับท่าน แต่รับ
รองและตกลงไว้กับภรรยาโหรต่างหาก พระต้องไม่วุ่นวาย ต้องเป็นพระที่ดี หลีกไป
พวกเราไม่รู้จักท่าน”
ครั้นถูกพวกสาวกอาชีวกพูดรุกราน พระอุทายี จึงเดินทางกลับกรุงสาวัตถี
ฝ่ายสาวน้อยก็ยังส่งข่าวไปถึงมารดาอีกเป็นครั้งที่ ๓ ว่า “ลูกตกระกำลำบาก หา
ความสุขไม่ได้เลย ฯลฯ คุณแม่โปรดมารับลูกกลับไปเถิด”
ฝ่ายภรรยาโหรก็เข้าไปหาพระอุทายีถึงที่อยู่ แล้วพูดเป็นครั้งที่ ๒ ว่า “พระ
คุณเจ้า ทราบมาว่า บุตรสาวของดิฉันตกระกำลำบาก ฯลฯ โปรดเลี้ยงดูนางอย่าง
สะใภ้”
ท่านพระอุทายีกล่าวว่า “อาตมาถูกพวกสาวกอาชีวกพูดรุกรานมาครั้งหนึ่งแล้ว
เธอไปเองเถิด อาตมาจะไม่ไป”
นินทาและสรรเสริญพระอุทายี
{๔๒๔} [๒๙๘] ครั้งนั้น ภรรยาโหรได้ตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ขอให้พระ
อุทายีตกระกำลำบาก อย่าได้มีความสุขสบายเหมือนบุตรสาวของเราที่ต้องตกระกำ
ลำบากไม่ได้ความสุขสบายเพราะมีแม่ผัว พ่อผัว และสามีชั่ว”
แม้สาวน้อยก็ตำหนิ ประณาม โพนทะนาพระอุทายีว่า “ขอให้พระอุทายีตก
ระกำลำบาก อย่าได้มีความสุข เหมือนเราที่ต้องตกระกำลำบาก ไม่ได้ความสุขสบาย
เพราะมีแม่ผัว พ่อผัว และสามีชั่ว”
แม้หญิงสาวอื่นๆ ที่ไม่ชอบใจแม่ผัว พ่อผัว และสามี ต่างสาปแช่งพระอุทายี
ว่า “ขอให้พระอุทายีตกระกำลำบาก ฯลฯ เหมือนเราที่ตกระกำลำบาก เพราะมี
แม่ผัว พ่อผัว และสามีชั่ว”
ฝ่ายหญิงสาวที่ชอบใจแม่ผัว พ่อผัว และสามี ต่างให้พรว่า “ขอให้พระคุณ
เจ้าอุทายีจงมีความสุขความเจริญเหมือนพวกเราที่มีความสุขความเจริญเพราะมีแม่ผัว
พ่อผัว และสามีดี”
{๔๒๕} พวกภิกษุได้ยินหญิงบางพวกสาปแช่ง บางพวกให้พร บรรดาภิกษุผู้มักน้อย
สันโดษ ฯลฯ จึงพากันตำหนิ ประณาม โพนทะนาว่า “ไฉนท่านพระอุทายีจึงชักสื่อ
เล่า” ครั้นภิกษุเหล่านั้นตำหนิท่านพระอุทายีโดยประการต่าง ๆ แล้วจึงนำเรื่องนี้ไป
กราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบ
เชิงอรรถ
A คณยตีติ คณโก ผู้คำณวน, โหร, หมอดู (อภิธา.ฏี. คาถา ๓๔๗), ปุราณคณกิยาติ เอกสฺส คณกสฺส
ภริยา, สา ตสฺมึ ชีวมาเน คณกีติ ปญฺญายิตฺถ, มเต ปน ปุราณคณกีติ สงฺขํ คตา ภรรยาของโหรคนหนึ่ง
เมื่อสามียังมีชีวิตเรียกขานกันว่า “คณกี” พอสามีตายถูกเรียกว่า “ปุราณคณกี” (หญิงม่ายผู้เคยเป็นภรรยา
โหร) (วิ.อ. ๒/๒๙๗/๔๓)

บาลี



รออัพเดต

อรรถกถา


รออัพเดต

สนทนาธรรม

comments

Comments are closed.